พม. สั่ง กคช. ผุดบ้านปฐมภูมิอีกหมื่นหน่วย รับความต้องการคนเริ่มทำงานใหม่ คาดใช้งบก่อสร้าง1 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งคณะทำงานศึกษา เร่งแก้หนี้สะสมบ้านเอื้อฯกว่า 5 หมื่นล้านบาท เหตุขาดทุนติดต่อ3 ปี หวังคลังขยายค้ำประกันเงินกู้ต่อ6เดือนถึง1 ปี พร้อมชั่งน้ำหนักงัดที่ดินพัฒนาบ้านเอื้อฯหรือขายทิ้ง เพื่อลดหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่วหลังจากตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่การเคหะแห่งชาติ(กคช.)ว่า ได้สั่งการให้ กคช. ดำเนินการโครงการบ้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวใหม่ หรือผู้ที่จบการศึกษาใหม่และเริ่มต้นทำงาน ในเบื้องต้นคาดว่าจะก่อสร้างบ้านในโครงการดังกล่าวจำนวน 1 หมื่นหน่วย โดยมีทั้งที่ดินเก่าจากโครงการบ้านเอื้อฯและที่ดินใหม่รองรับใน 4 ทำเล ได้แก่ ที่ดินร่มเกล้า, ลำลูกกา ,วัดกู้ และบางพลี ส่วนรูปแบบการก่อสร้างโครงการ แบ่งเป็นอาคารชุดขนาด 32 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขาย 7.5 แสนบาทขึ้นไป ห้องชุดขนาด 42 ตร.ม.ราคาขาย 1.3ล้านบาทขึ้นไป คาดว่าโครงการบ้านปฐมภูมิจะใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
“ แหล่งเงินของโครงการนี้ จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน และบางส่วนจะของบอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อใช้ในการก่อร้างระบบสาธารณูปโภคบ้างส่วน” รมว.พม.กล่าว อนึ่ง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลต่ำกว่าเป้า
นายชวรัตน์ กล่าวถึงประเด็นเปราะบางจากโครงการบ้านเอื้อฯที่มีผลต่อกคช.ว่า ขณะนี้กคช.ขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้อฯจนส่งผลให้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น และตามข้อปฎิบัติ ของกระทรวงการคลังก่อนหน้านี้ ทางคลังจะค้ำประกันเงินกู้ให้แก่กคช.ในระยะ 3 ปี แต่หากในช่วงดังกล่าวยังขาดทุนอยู่ ทางคลังจะไม่รับค้ำประกันให้ ดังนั้น แนวทางที่ต้อง เร่งดำเนินการ คือ เจรจากับกระทรวงการคลังขยายเวลาการค้ำประกันเงินกู้ออกไป 6เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้กคช.เร่งผลักดันบ้านเอื้อฯให้มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อการลดลงของต้นทุนเงินกู้ในขณะนี้
ทั้งนี้ ในปี2551 นี้ กคช.มียอดหนี้สะสมรวม 5หมื่นล้านบาท โดยมีกำหนดครบรอบชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางกคช.ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้จัดหาเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนด ส่วนหนี้อีก 2 หมื่นล้านบาทที่ครบกำหนดต้องชำระนั้น กคช.ได้เตรียมการไว้แล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทั้งหมดภายในเดือนก.ย.นี้ โดยจากนี้ไป จะเปิดให้สถาบันการเงินแต่ละแห่ง ยื่นข้อเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่กคช. เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้แหล่งเงินกู้กับสถาบันการเงินใด
นอกจากนี้ ทางรมว.พม.ได้กำชับให้กคช.ไปศึกษาแนวทางการทำตลาดของโครงการบ้านเอื้อฯใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาขายบ้านไม่ได้ ทำให้กคช.เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่อง ส่งผลต่อเนื่องถึงการใช้งบประมาณที่มากกว่าปกติที่วางไว้ 2-3 เท่า
“ การตั้งคณะทำงานดังกล่าวเข้ามาพิจารณาการตัดขายที่ดิน และเลือกทำเลว่า พื้นที่ใดควรก่อสร้างต่อและพื้นที่ใดควรจะตัดขายออกไป ต้องคำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่พื้นที่ มีอยู่มากน้อยอย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีการลดจำนวนการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรลงอีก แต่ต้องพิจารณาความต้องการของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างยังมีความสำคัญมากต่อการพิจาณาก่อสร้างหรือลดจำนวนโครงการ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนปรับตัวขึ้นมาสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้ ”
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่วหลังจากตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่การเคหะแห่งชาติ(กคช.)ว่า ได้สั่งการให้ กคช. ดำเนินการโครงการบ้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวใหม่ หรือผู้ที่จบการศึกษาใหม่และเริ่มต้นทำงาน ในเบื้องต้นคาดว่าจะก่อสร้างบ้านในโครงการดังกล่าวจำนวน 1 หมื่นหน่วย โดยมีทั้งที่ดินเก่าจากโครงการบ้านเอื้อฯและที่ดินใหม่รองรับใน 4 ทำเล ได้แก่ ที่ดินร่มเกล้า, ลำลูกกา ,วัดกู้ และบางพลี ส่วนรูปแบบการก่อสร้างโครงการ แบ่งเป็นอาคารชุดขนาด 32 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขาย 7.5 แสนบาทขึ้นไป ห้องชุดขนาด 42 ตร.ม.ราคาขาย 1.3ล้านบาทขึ้นไป คาดว่าโครงการบ้านปฐมภูมิจะใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
“ แหล่งเงินของโครงการนี้ จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน และบางส่วนจะของบอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อใช้ในการก่อร้างระบบสาธารณูปโภคบ้างส่วน” รมว.พม.กล่าว อนึ่ง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลต่ำกว่าเป้า
นายชวรัตน์ กล่าวถึงประเด็นเปราะบางจากโครงการบ้านเอื้อฯที่มีผลต่อกคช.ว่า ขณะนี้กคช.ขาดทุนจากโครงการบ้านเอื้อฯจนส่งผลให้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น และตามข้อปฎิบัติ ของกระทรวงการคลังก่อนหน้านี้ ทางคลังจะค้ำประกันเงินกู้ให้แก่กคช.ในระยะ 3 ปี แต่หากในช่วงดังกล่าวยังขาดทุนอยู่ ทางคลังจะไม่รับค้ำประกันให้ ดังนั้น แนวทางที่ต้อง เร่งดำเนินการ คือ เจรจากับกระทรวงการคลังขยายเวลาการค้ำประกันเงินกู้ออกไป 6เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้กคช.เร่งผลักดันบ้านเอื้อฯให้มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อการลดลงของต้นทุนเงินกู้ในขณะนี้
ทั้งนี้ ในปี2551 นี้ กคช.มียอดหนี้สะสมรวม 5หมื่นล้านบาท โดยมีกำหนดครบรอบชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางกคช.ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้จัดหาเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนด ส่วนหนี้อีก 2 หมื่นล้านบาทที่ครบกำหนดต้องชำระนั้น กคช.ได้เตรียมการไว้แล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทั้งหมดภายในเดือนก.ย.นี้ โดยจากนี้ไป จะเปิดให้สถาบันการเงินแต่ละแห่ง ยื่นข้อเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่กคช. เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้แหล่งเงินกู้กับสถาบันการเงินใด
นอกจากนี้ ทางรมว.พม.ได้กำชับให้กคช.ไปศึกษาแนวทางการทำตลาดของโครงการบ้านเอื้อฯใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาขายบ้านไม่ได้ ทำให้กคช.เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่อง ส่งผลต่อเนื่องถึงการใช้งบประมาณที่มากกว่าปกติที่วางไว้ 2-3 เท่า
“ การตั้งคณะทำงานดังกล่าวเข้ามาพิจารณาการตัดขายที่ดิน และเลือกทำเลว่า พื้นที่ใดควรก่อสร้างต่อและพื้นที่ใดควรจะตัดขายออกไป ต้องคำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่พื้นที่ มีอยู่มากน้อยอย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีการลดจำนวนการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรลงอีก แต่ต้องพิจารณาความต้องการของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างยังมีความสำคัญมากต่อการพิจาณาก่อสร้างหรือลดจำนวนโครงการ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนปรับตัวขึ้นมาสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้ ”