บริษัทบริหารสินทรัพย์ สาธรโละขายหนี้เน่า BT ให้"บสก.-แซม"ต่อ จำนวนเงินรวม 3,877 ล้าน เป็นส่วนของบสก. 3,741 ล้านบาท และแซมอีก 100 กว่าล้าน พร้อมนำเงินใช้หนี้เงินกู้คืน BT ทันที ขณะที่บสก.เร่งเจรจาซื้อเอ็นพีแอลจากแบงก์นครหลวงไทยต่อ มั่นใจทั้งปีเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 5 หมื่นล้าน
วานนี้(25 มิ.ย.)บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.)ได้จัดให้มีพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ(เอ็นพีแอล) กับบริษัทบริหารสินทรัพย์สาธร จำกัด จำนวน 29,713 ล้านบาท ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารสำนักงานใหญ่ บสก.
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บสก.กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ บสก.ได้รับซื้อรับโอนเอ็นพีแอลจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาทร (STAMC)จากภาระหนี้ตามสิทธิรวมประมาณ 29,713 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินต้นคงค้าง 10,815 ล้านบาท และดอกเบี้ย 18,898 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ 1,393 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก กลุ่มลูกหนี้โครงการจัดสรร และกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 50% และกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในต่างจังหวัดอีกประมาณ 50%
"การซื้อเอ็นพีแอลครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของบสก.ที่จัดตั้งมาเพื่อช่วยลดหนี้เอ็นพีแอลของสถาบันการเงิน และการซื้อเอ็นพีแอลครั้งนี้ผลดีโดยรวมก็จะตกอยู่กับธนาคารไทยธนาคาร ซึ่งจะทำให้มีเงินกองทุนเพิ่มขึ้น"นายบรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป บสก.จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี บสก.ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยลูกหนี้ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป
สำหรับเป้าหมายในการซื้อเอ็นพีแอลของบสก.ในปีนี้อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท เป็นส่วนที่รับมาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.)จำนวน 35,000 ล้านบาท ซื้อจากสถาบันการเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการซื้อเอ็นพีแอลของบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาธรแล้ว ขณะนี้บสก.อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารนครหลวงไทยและไฟแนนซ์อื่น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุจำนวนหนี้ที่จะซื้อได้
นายบรรยงกล่าวอีกว่า แนวโน้มเอ็นพีแอลในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่การเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นในตัวมูลค่าหนี้ แต่เทียบเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมแล้วอาจจะลดลงเนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งกว่าการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นเอ็นพีแอลก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง
นายเอกชัย ติวุตานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สาทร ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (BT) เปิดเผยว่า ในวันนี้บริษัทได้ขายเอ็นพีแอลให้กับบสก.เป็นเงินทั้งสิ้น 3,741 ล้านบาท และอีก 100 กว่าล้านบาทขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท(SAM) ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหนี้ทั้งหมดบริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ให้กับธนาคารไทยธนาคารภายภายหลังจากการเซ็นสัญญา ซึ่งมูลหนี้ที่บริษัท ต้องโอนให้กับธนาคารไทยธนาคารเป็นมูลหนี้กว่า 3,000 ล้านบาท และหลังจากโอนไปแล้วบริษัทจะเหลือเงินจากการเอ็นพีแอลครั้งนี้อีกเล็กน้อย
สำหรับหนี้ที่ขายออกไปดังกล่าวเป็นหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทจากมูลค่าตามสิทธิรวมประมาณ 29,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันบริษัทเหลือหนี้ที่ต้องบริหารอยู่ 6,000 ล้านบาท แต่บริษัทไม่มีนโยบายขายออกไป เนื่องจากมีราคาประเมินเพียง 100 กว่าล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลของธนาคารไทยธนาคาร ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 10,000 ล้านบาทนั้น จะโอนมาให้บริษัทเป็นผู้บริหารหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารเอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธนาคารไทยธนาคารยังไม่ได้มีนโยบายโอนการลงทุนในตราสารที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง (CDO) มาให้บริษัทบริหารตามที่เป็นข่าว แต่หากจะมีการโอนมาบริษัทสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว เนื่องจากทางกฎหมายเปิดช่องให้บริษัทสามารถบริหารสินทรัพย์ได้ทุกประเภทรวมถึงตราสาร
ทั้งนี้ หลังจากได้รับจากการขายหนี้เอ็นพีแอลดังกล่าวแล้วจะนำเงินนี้ไปรวมเข้ากับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ที่ปัจจุยันยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้จากนี้เงินกองทุนของธนาคารไทยธนาคารจะอยู่ที่เกือบ 9%
วานนี้(25 มิ.ย.)บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.)ได้จัดให้มีพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ(เอ็นพีแอล) กับบริษัทบริหารสินทรัพย์สาธร จำกัด จำนวน 29,713 ล้านบาท ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารสำนักงานใหญ่ บสก.
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บสก.กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ บสก.ได้รับซื้อรับโอนเอ็นพีแอลจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาทร (STAMC)จากภาระหนี้ตามสิทธิรวมประมาณ 29,713 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินต้นคงค้าง 10,815 ล้านบาท และดอกเบี้ย 18,898 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ 1,393 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก กลุ่มลูกหนี้โครงการจัดสรร และกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 50% และกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในต่างจังหวัดอีกประมาณ 50%
"การซื้อเอ็นพีแอลครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของบสก.ที่จัดตั้งมาเพื่อช่วยลดหนี้เอ็นพีแอลของสถาบันการเงิน และการซื้อเอ็นพีแอลครั้งนี้ผลดีโดยรวมก็จะตกอยู่กับธนาคารไทยธนาคาร ซึ่งจะทำให้มีเงินกองทุนเพิ่มขึ้น"นายบรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป บสก.จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี บสก.ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยลูกหนี้ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป
สำหรับเป้าหมายในการซื้อเอ็นพีแอลของบสก.ในปีนี้อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท เป็นส่วนที่รับมาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.)จำนวน 35,000 ล้านบาท ซื้อจากสถาบันการเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการซื้อเอ็นพีแอลของบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาธรแล้ว ขณะนี้บสก.อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารนครหลวงไทยและไฟแนนซ์อื่น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุจำนวนหนี้ที่จะซื้อได้
นายบรรยงกล่าวอีกว่า แนวโน้มเอ็นพีแอลในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่การเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นในตัวมูลค่าหนี้ แต่เทียบเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมแล้วอาจจะลดลงเนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งกว่าการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นเอ็นพีแอลก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง
นายเอกชัย ติวุตานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สาทร ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (BT) เปิดเผยว่า ในวันนี้บริษัทได้ขายเอ็นพีแอลให้กับบสก.เป็นเงินทั้งสิ้น 3,741 ล้านบาท และอีก 100 กว่าล้านบาทขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท(SAM) ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหนี้ทั้งหมดบริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ให้กับธนาคารไทยธนาคารภายภายหลังจากการเซ็นสัญญา ซึ่งมูลหนี้ที่บริษัท ต้องโอนให้กับธนาคารไทยธนาคารเป็นมูลหนี้กว่า 3,000 ล้านบาท และหลังจากโอนไปแล้วบริษัทจะเหลือเงินจากการเอ็นพีแอลครั้งนี้อีกเล็กน้อย
สำหรับหนี้ที่ขายออกไปดังกล่าวเป็นหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทจากมูลค่าตามสิทธิรวมประมาณ 29,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันบริษัทเหลือหนี้ที่ต้องบริหารอยู่ 6,000 ล้านบาท แต่บริษัทไม่มีนโยบายขายออกไป เนื่องจากมีราคาประเมินเพียง 100 กว่าล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลของธนาคารไทยธนาคาร ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 10,000 ล้านบาทนั้น จะโอนมาให้บริษัทเป็นผู้บริหารหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารเอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธนาคารไทยธนาคารยังไม่ได้มีนโยบายโอนการลงทุนในตราสารที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง (CDO) มาให้บริษัทบริหารตามที่เป็นข่าว แต่หากจะมีการโอนมาบริษัทสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว เนื่องจากทางกฎหมายเปิดช่องให้บริษัทสามารถบริหารสินทรัพย์ได้ทุกประเภทรวมถึงตราสาร
ทั้งนี้ หลังจากได้รับจากการขายหนี้เอ็นพีแอลดังกล่าวแล้วจะนำเงินนี้ไปรวมเข้ากับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ที่ปัจจุยันยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้จากนี้เงินกองทุนของธนาคารไทยธนาคารจะอยู่ที่เกือบ 9%