ดัชนีหุ้นไทยผวนหนักรูดก่อนดีดกลับมา ปิดที่ 721.86 จุด เพิ่มขึ้น 0.73 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.10% โบรกเชื่อที่ผ่านมาดัชนีรูดต่อเนื่องจนมีแรงซื้อกลับคืน โดยเฉพาะ PTT บวกก่อนปิดตลาด ส่วนหนึ่งเพราะการประกาศลาออกของ “นพดล ปัทมะ” ช่วยคลายความร้อนแรงการเมือง แนะหุ้นกลุ่มแบงก์น่าสน รับผลประกอบการไตรมาส 2 เจ๋ง
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (10 ก.ค.) ดัชนีช่วงเช้าปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่หลังจากการแถลงข่าวลาออกของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หุ้นรีบาว์นเล็กน้อย ปิดที่721.86 จุด เพิ่มขึ้น 0.73 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.10% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 727.47 ล้านบาท ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 713.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,369.10 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,858.16 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,377.13 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,481.02 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวกลับมาปิดวันทำการในแดนบวกได้ในวานนี้ ไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยหนุนใดป็นพิเศษ แต่เกิดมาจากการที่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีเกิดการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายวันมากกว่า จึงเกิดแรงซื้อกลับจนหนุนดัชนีให้สามารถรีบาวนด์อีกครั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
“เห็นได้ว่า วานนี้ หุ้นกลุ่มที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีเกิดการปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง อย่างเช่น หุ้นในกลุ่มรับเหมา และหุ้นของบริษัทในเครือ ปตท. แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาอีกครั้งซึ่งแสดงถึงว่าแรงเทขายของนักลงทุนยังไม่หมด” นายกวี กล่าว
สำหรับนักลงทุนต่างชาตินั้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่องแต่เชื่อว่ายังคงมีโอกาสที่จะขายสุทธิต่อไปได้อีก เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งประสบปัญหาอยู่ ทำให้คาดว่าสถาบันการเงินต่างๆ ยังคงมีปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่งหลังจากนี้ คงจะต้องมีการออกตราสารทางการเงินเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนกลับไปแก้ไขปัญหาของบริษัท
“ส่วนราคาน้ำมันตอนนี้เกิดความผันผวนจากการเก็งกำไรน้อยลง เพราะช่วงที่ผ่านมา แม้จะเกิดความวิตกเกี่ยวกับสงคราม แต่ราคาน้ำมันไม่ได้มีการปรับตัวมากนัก ในขณะที่ตอนนี้ราคาน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเป็นราคาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันมักจะไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเป็นช่วง Low season อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวหรืออาจจะปรับตัวลดลงได้” นายกวี กล่าว
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้ง เนื่องมาจากความคาดหวังต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ซึ่งน่าจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าการปรับตัวลดลงของราคาในช่วงที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายปันผล หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ผลประกอบการไม่น่าจะออกมาในทางลบมากนัก ได้แก่หุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มเหล็ก กลุ่ทมอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยให้แนวรับที่ 713 จุด และให้แนวต้านที่ 730-735 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นวานนี้ผันผวนหนัก โดยดัชนีปรับลดลงในช่วงเช้า เพราะหุ้นตัวใหญ่ๆ ราคาปรับลดลง และเลยมาจนถึงบ่าย ก่อนจะดีดกลับมาในช่วงก่อนปิดตลาด ด้วยแรงซื้อในหุ้นบิ๊กแคปอย่าง PTT แต่เพราะต่างชาติขายต่อเนื่อง โดยจากเดือนนี้พบว่าขายสุทธิออกมาแล้วเกือบ 16,000 ล้านบาท ขณะที่วานนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 3,738 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยในประเทศซื้อสุทธิกว่า 2,269 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิเพียง 1,469 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในระยะ 1-2 วันนี้ดัชนีก็คงไต่ระดับที่ 720 จุด
โดยแต่มองสัปดาห์หน้าหุ้นกลุ่มแบงก์จะได้รับผลดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมาก่อนหุ้นกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งผลการประชุมของคณะกรรมการกำกับการเงิน (กนง.) ที่คาดว่า น่าจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นเรื่องที่รับทราบกันมาแล้ว เชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นเพราะรับรู้กันไปก่อนหน้าแล้ว ขณะที่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยบวก เพราะการเมืองที่คลุมเครือ อีกทั้งยังราคาน้ำมัน จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานอาจผันผวน ดังนั้น ในสัปดาห์หน้า จึงแนะนำลงทุนในหุ้นแบงก์ใหญ่อย่าง BBL และ KBANK
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส กล่าวว่า วานนี้ ที่ดัชนีตลาดดีดกลับไม่มีข่าวดีใดๆ มาเป็นปัจจัยบวก ส่วนหนึ่งอาจเพราะเกิดแรงขายออกมาเกินไปจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติก็ยังขายต่อเนื่อง และแนวโน้มจะขายต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในช่วงขาลง โดยวานนี้การที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประกาศลาออกนั้น เหมือนช่วยคลายความร้อนแรงและกังวลได้ระดับหนึ่ง และเชื่อว่าความรุนแรงของม็อบที่มีทีท่าจะไม่ยอมกับเรื่องกรณีของเขาพระวิหาร รวมทั้งคนที่ประชาชนไม่ชอบหลายรายได้มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็น่าจะผ่อนลง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเกิดการปรับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าผู้ที่จะเข้ามานั้นจะถูกใจประชาชนหรือไม่
สำหรับดัชนีตลาด เชื่อว่า น่าจะจะปรับขี้นไประดับ 740-745 จุด ในภาวะปัจจุบันที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่หากมีไรเกิดขึ้นก็ยากต่อการคาดการณ์ และการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มแบงก์จะเริ่มออกมาแล้ว อาจทำให้ตลาดขยับบ้าง เพราะคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะออกมาดี ซึ่งดีกว่าไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา รวมทั้งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่จะมีการโอนขายบ้านและการจดทะเบียน ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จะลงบันทึกเป็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 2 พอดี รวมทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งค่าการกลั่นในช่วงนี้ดีมาก แนะนำนักลงทุนให้เข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (10 ก.ค.) ดัชนีช่วงเช้าปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่หลังจากการแถลงข่าวลาออกของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หุ้นรีบาว์นเล็กน้อย ปิดที่721.86 จุด เพิ่มขึ้น 0.73 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.10% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 727.47 ล้านบาท ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 713.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,369.10 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,858.16 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,377.13 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,481.02 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวกลับมาปิดวันทำการในแดนบวกได้ในวานนี้ ไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยหนุนใดป็นพิเศษ แต่เกิดมาจากการที่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีเกิดการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายวันมากกว่า จึงเกิดแรงซื้อกลับจนหนุนดัชนีให้สามารถรีบาวนด์อีกครั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
“เห็นได้ว่า วานนี้ หุ้นกลุ่มที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีเกิดการปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง อย่างเช่น หุ้นในกลุ่มรับเหมา และหุ้นของบริษัทในเครือ ปตท. แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาอีกครั้งซึ่งแสดงถึงว่าแรงเทขายของนักลงทุนยังไม่หมด” นายกวี กล่าว
สำหรับนักลงทุนต่างชาตินั้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่องแต่เชื่อว่ายังคงมีโอกาสที่จะขายสุทธิต่อไปได้อีก เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งประสบปัญหาอยู่ ทำให้คาดว่าสถาบันการเงินต่างๆ ยังคงมีปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่งหลังจากนี้ คงจะต้องมีการออกตราสารทางการเงินเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนกลับไปแก้ไขปัญหาของบริษัท
“ส่วนราคาน้ำมันตอนนี้เกิดความผันผวนจากการเก็งกำไรน้อยลง เพราะช่วงที่ผ่านมา แม้จะเกิดความวิตกเกี่ยวกับสงคราม แต่ราคาน้ำมันไม่ได้มีการปรับตัวมากนัก ในขณะที่ตอนนี้ราคาน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเป็นราคาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันมักจะไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเป็นช่วง Low season อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวหรืออาจจะปรับตัวลดลงได้” นายกวี กล่าว
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้ง เนื่องมาจากความคาดหวังต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ซึ่งน่าจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าการปรับตัวลดลงของราคาในช่วงที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายปันผล หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ผลประกอบการไม่น่าจะออกมาในทางลบมากนัก ได้แก่หุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มเหล็ก กลุ่ทมอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยให้แนวรับที่ 713 จุด และให้แนวต้านที่ 730-735 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นวานนี้ผันผวนหนัก โดยดัชนีปรับลดลงในช่วงเช้า เพราะหุ้นตัวใหญ่ๆ ราคาปรับลดลง และเลยมาจนถึงบ่าย ก่อนจะดีดกลับมาในช่วงก่อนปิดตลาด ด้วยแรงซื้อในหุ้นบิ๊กแคปอย่าง PTT แต่เพราะต่างชาติขายต่อเนื่อง โดยจากเดือนนี้พบว่าขายสุทธิออกมาแล้วเกือบ 16,000 ล้านบาท ขณะที่วานนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 3,738 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยในประเทศซื้อสุทธิกว่า 2,269 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิเพียง 1,469 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในระยะ 1-2 วันนี้ดัชนีก็คงไต่ระดับที่ 720 จุด
โดยแต่มองสัปดาห์หน้าหุ้นกลุ่มแบงก์จะได้รับผลดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมาก่อนหุ้นกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งผลการประชุมของคณะกรรมการกำกับการเงิน (กนง.) ที่คาดว่า น่าจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นเรื่องที่รับทราบกันมาแล้ว เชื่อว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นเพราะรับรู้กันไปก่อนหน้าแล้ว ขณะที่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยบวก เพราะการเมืองที่คลุมเครือ อีกทั้งยังราคาน้ำมัน จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานอาจผันผวน ดังนั้น ในสัปดาห์หน้า จึงแนะนำลงทุนในหุ้นแบงก์ใหญ่อย่าง BBL และ KBANK
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส กล่าวว่า วานนี้ ที่ดัชนีตลาดดีดกลับไม่มีข่าวดีใดๆ มาเป็นปัจจัยบวก ส่วนหนึ่งอาจเพราะเกิดแรงขายออกมาเกินไปจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติก็ยังขายต่อเนื่อง และแนวโน้มจะขายต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในช่วงขาลง โดยวานนี้การที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประกาศลาออกนั้น เหมือนช่วยคลายความร้อนแรงและกังวลได้ระดับหนึ่ง และเชื่อว่าความรุนแรงของม็อบที่มีทีท่าจะไม่ยอมกับเรื่องกรณีของเขาพระวิหาร รวมทั้งคนที่ประชาชนไม่ชอบหลายรายได้มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็น่าจะผ่อนลง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเกิดการปรับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าผู้ที่จะเข้ามานั้นจะถูกใจประชาชนหรือไม่
สำหรับดัชนีตลาด เชื่อว่า น่าจะจะปรับขี้นไประดับ 740-745 จุด ในภาวะปัจจุบันที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่หากมีไรเกิดขึ้นก็ยากต่อการคาดการณ์ และการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มแบงก์จะเริ่มออกมาแล้ว อาจทำให้ตลาดขยับบ้าง เพราะคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะออกมาดี ซึ่งดีกว่าไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา รวมทั้งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่จะมีการโอนขายบ้านและการจดทะเบียน ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จะลงบันทึกเป็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 2 พอดี รวมทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งค่าการกลั่นในช่วงนี้ดีมาก แนะนำนักลงทุนให้เข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้