นักวิเคราะห์ระบุผลประกอบการกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 มีโอกาสลดลงสูงจากปัจจัยเงินเฟ้อ การเมือง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศฉุดรั้งยอดสินเชื่อลดลง โดยเฉพาะรายย่อยอาจชะลอกว่าครึ่งแรก ขณะเดียวกันสิทธิพิเศษที่ได้รับจากรายการต่างๆ ทั้งเงินปันผลกองทุนวายุภักษ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทบัตรเครดิตลดลง
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้คาดว่าจะออกมาทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ลดลง โดยเฉพาะยอดการปล่อยสินเชื่อ
“จากปัจจัยการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ เงินเฟ้อสูงจากราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นที่อาจส่งผลให้ผลประกอบของกลุ่มแบงก์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ไม่ดีมาก หรืออยู่ระดับทรงๆ ตัวเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ส่วนในงบการเงินช่วงไตรมาส 3 ก็อาจไม่ดีนัก เนื่องจากแบงก์ยังได้รับผลกระทบจากช่วงที่ผ่านมาอยู่ จึงต้องติดตามดูต่อไปว่าจะมีปัจจัยอะไรที่เข้ามาเสริมให้ผลประกอบแบงก์ดีขึ้นบ้าง”นายภูวดล กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การบันทึกรายการพิเศษต่างๆ ที่ให้สิทธิ์แก่ธนาคารพาณิชย์จะหมดไป อาทิ เงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์และไม่มีส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าจดทะเบียนฯของบริษัทบัตรเครดิต VISA ในอเมริกา เหมือนเช่นไตรมาสที่ผ่านมา เป็นต้น ทำให้ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วย
ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยอมรับว่าปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ไม่ค่อยดีนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ปัญหาเงินเฟ้อที่อาจฉุดรั้งความสามารถใช้จ่ายของผู้บริโภคและเป็นปัจจัยลบต่อการลงทุนในภาคธุรกิจ อาจส่งผลต่อยอดสินเชื่อรวม โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่อาจชะลอลงจากช่วงครึ่งปีแรกได้
อย่างไรก็ตามจากการประเมินของบริษัทมองว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) จะได้ผลประโยชน์จากการควบรวมกับ General Electric Capital Asia Lease หรือ GECAL ส่งผลให้จำนวนสินทรัพย์และสินเชื่อเพิ่มขึ้น ประกอบกับธนาคารกรุงศรีฯ ได้มีการตั้งสำรองของตราสาร CDO และได้มีการบันทึกตั้งแต่ปี 2550 แล้ว ทำให้ธนาคารแห่งนี้อาจพลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาเป็นกำไรได้
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้คาดว่าจะออกมาทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ลดลง โดยเฉพาะยอดการปล่อยสินเชื่อ
“จากปัจจัยการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ เงินเฟ้อสูงจากราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นที่อาจส่งผลให้ผลประกอบของกลุ่มแบงก์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ไม่ดีมาก หรืออยู่ระดับทรงๆ ตัวเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ส่วนในงบการเงินช่วงไตรมาส 3 ก็อาจไม่ดีนัก เนื่องจากแบงก์ยังได้รับผลกระทบจากช่วงที่ผ่านมาอยู่ จึงต้องติดตามดูต่อไปว่าจะมีปัจจัยอะไรที่เข้ามาเสริมให้ผลประกอบแบงก์ดีขึ้นบ้าง”นายภูวดล กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การบันทึกรายการพิเศษต่างๆ ที่ให้สิทธิ์แก่ธนาคารพาณิชย์จะหมดไป อาทิ เงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์และไม่มีส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าจดทะเบียนฯของบริษัทบัตรเครดิต VISA ในอเมริกา เหมือนเช่นไตรมาสที่ผ่านมา เป็นต้น ทำให้ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วย
ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยอมรับว่าปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ไม่ค่อยดีนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ปัญหาเงินเฟ้อที่อาจฉุดรั้งความสามารถใช้จ่ายของผู้บริโภคและเป็นปัจจัยลบต่อการลงทุนในภาคธุรกิจ อาจส่งผลต่อยอดสินเชื่อรวม โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่อาจชะลอลงจากช่วงครึ่งปีแรกได้
อย่างไรก็ตามจากการประเมินของบริษัทมองว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) จะได้ผลประโยชน์จากการควบรวมกับ General Electric Capital Asia Lease หรือ GECAL ส่งผลให้จำนวนสินทรัพย์และสินเชื่อเพิ่มขึ้น ประกอบกับธนาคารกรุงศรีฯ ได้มีการตั้งสำรองของตราสาร CDO และได้มีการบันทึกตั้งแต่ปี 2550 แล้ว ทำให้ธนาคารแห่งนี้อาจพลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาเป็นกำไรได้
