xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรชี้ธุรกิจกองทุนปีนี้หดตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทยครวญบรรยากาศลงทุนกดดัน อุตสาหกรรมกองทุนรวมปี 51 อาจโตไม่ถึง 20% ตั้งเป้าครึ่งปีหลังใช้ผลการดำเนินงานดันยอด”เอยูเอ็ม”เพิ่ม เตรียมเข็นกองทุน ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และตราสารหนี้ต่างประเทศ ล่อใจนักลงทุนต่อเนื่อง ระบุกองECP อาจคืนชีพ เนื่องจากเริ่มมีช่องว่างของผลตอบแทนเพิ่มขึ้น

นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงเน้นในเรื่องของผลการดำเนินงานเป็นหลัก และไม่อยากให้มองแต่ในเรื่องของการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์รวม โดยที่ผ่านมาผลการดำเนินงานทุกกองทุนของบริษัทจะเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาเป็นลูกค้าเรา

สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างจะชะลอตัว ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบรรยากาศด้านการลงทุนที่ได้รับผลกระทบไปทั่วโลก โดยการเติบโตของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ของบริษัทได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มากนักเพราะยังสามารถขยายขนาดของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นได้ในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของบริษัท ณ วันที่ 30 พ.ค.51 จะอยู่ที่ 338,174.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากธันวาคม 2550 ประมาณ 19,295.39 ล้านบาท โดยธุรกิจกองรวมมียอดสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นมากที่สุดจาก 238,394.76 ล้านบาทในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ 251,777.52 ล้านบาท

โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าการขยายตัวของAUM ให้สอดคล้องกับการขยายตัวกับทั้งอุตสาหกรรมอยู่ แต่หลังจากนี้อาจจะต้องมีการปรับเป้าใหม่ว่าจะสามารถทำได้ถึง 20% หรือไม่ เพราะในช่วง 5 เดือนที่ผ่านการขยายตัวของธุรกิจกองทุนรวมค่อนข้างชะลอตัว เนื่องจากถูกกดดันด้วยบรรยากาศด้านการลงทุน

“ อุตสาหกรรมกองทุนรวมค่อนข้างชะลอตัว และแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ถึงกว่า 20% คงจะต้องดูอีกเพราะถึงเดือนพฤษภาแล้วยังแทบจะไม่โต และเป้าการขยายตัวของเราในปีนี้ที่ 20% ตามอุตสาหกรรมคงจะต้องดูอีกครั้งว่าจะต้องปรับหรือไม่ ซึ่งบรรยากาศการลงทุนมันกดดัน และไม่ได้เป็นแค่ในประเทศแต่มันทั่วโลกในส่วนของตลาดหุ้นก็ส่งผลเช่นกัน”นางวิวรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในครึ่งปีหลัง ยังคงมีปัจจัยหนุนอยู่คือ การบังคับใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งน่าจะทำให้อุตสหกรรมกองทุนรวมมีการตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2551 ทางบริษัทได้เตรียมที่จะออกกองทุนใหม่เพิ่มเติม เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในทองคำ และกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยแนวทางการออกกองทุนของบริษัทคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ซึ่งจะต้องพิจารณาหลายอย่างประกอบกัน ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย และบรรยากาศการลงทุน

“ครึ่งปีหลัง เราคงจะมีกองทุนออกมาอีก แต่อาจจะไม่มากเหมือนต้นปี ซึ่งกองทุนเกาหลี ได้รับการตอบรับดี ส่วนกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนใน ECP น่าจะเริ่มเห็นช่องว่างของผลตอบแทนมากขึ้น และน่าจะเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้อีก นอกจากนี้เราจะมีกองทุนทองคำที่จะเปิดขายในวันที่ 5-15 ก.ค.ก็นับเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน”นางวิวรรณกล่าว

สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทตั้งเป้าว่าจะออกมาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน 2-3 กองในปีนี้นั้น ขณะนี้ยังทำการเปิดขายได้เพียงกองเดียว ส่วนที่เหลือยังต้องพิจารณาอีกว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ โดยกองทุนที่จะทำการเปิดขายเป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ของ โรงแรมในเครือเซ็นทารา โดยจะมีการจัดสัมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนนี้ในวันที่ 15 กรกฏาคมนี้

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า กองทุนที่คาดว่าจะได้รับความนิยมหลังจากนี้ คงเป็นกองมันนี่มาร์เก็ต เพราะช่วงที่ผ่านมากองประเภทนี้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก และส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนจึงเลือกนำเงินมาพักไว้ในกองทุนประเภทนี้ก่อน

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอง ทางบริษัทยังไม่มีแนวโน้มที่จะตั้งกองทุนใหม่เพิ่มเติม เพราะมีอยู่แล้ว ซึ่งกองทุนหุ้นถือเป็นกองทุนที่น่าสนใจเป็นอย่างมากขณะนี้ เนื่องจากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยหากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ก็อยากแนะนำให้ลงทุนในช่วงนี้เลย

“ถ้านักลงทุนรับความเสี่ยงได้ ตอนนี้กองทุนหุ้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะดัชนีมันปรับลดลงต่ำกว่าพื้นฐานมาก ซึ่งหากบรรยากาศการลงทุนดีขึ้น ผลตอบแทนก็น่าจะดีตาม”นางวิวรรณกล่าว

ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา ทางบริษัทคิดว่า ยังไม่เป็นโอกาสที่เหมาะสมเท่าไร เนื่องจากปัญหาซับไพรม์ยังไม่จบดี และมีโอกาสสร้างผลกระทบได้อีกครั้ง

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของบริษัทคงจะต้องมีการปรับลดอายุตราสารลง ซึ่งทางผู้จัดการกองทุนจะดูแลเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้หากลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวจะไม่คุ้มค่า

“การลงทุนในตราสารหนี้ต้องปรับดูเรชั่นตลอด ซึ่งเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และยิลด์ของตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น โดยพันธบัตรระยะยาวที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้เปรียบเทียบกันแล้วจะน้อยกว่าหากลงระยะสั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมายิลด์ของพันธบัตรไทยได้มีการปรับตัวขึ้นไปบ้างแล้ว”นางวิวรรณกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น