บลจ.กสิกรไทยคาดอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ปัจจัยหนุนกองตราสารหนี้ในประเทศคืนชีพ พร้อมคาดกนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พีก่อนสิ้นปีประมาณ 0.25%-0.5% จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ระบุการขึ้นดอกเบี้ยแบงก์พาณิชย์จะไม่กระทบการขยายตัวของธุรกิจกองทุน เหตุมีกลุ่มลูกค้าต่างกัน และผลตอบแทนยังน้อยกว่า "วิวรรณ"เผยราคาน้ำมันยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เพราะหุ้นไทยพื้นฐานดีราคาถูกยังมี
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีการปรับเพิ่มุขึ้นได้ เนื่องจากการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในปัจจุบัน โดยเงินเฟ้อที่บริษัทคาดการณ์ไว้เดิมจะอยู่ที่ประมาณ 4.5% แต่ปัจจุบันมีการปรับเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 2 ครั้งคือ 5.5% และ 6% ซึ่งหลังจากนี้อาจจะต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกเป็น 6.5% ได้เช่นกัน หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พี ของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(กนง.) คงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่เชื่อว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.25%-0.5% ได้ภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเชื่อว่า จะทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศได้รับความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทมีกองทุนประเภทโลว์โอเวอร์ เอาไว้รองรับอยู่แล้วทั้งประเภท 3 เดือน และ 6 เดือน
“แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น น่าจะทำให้ผลตอบแทนของกองตราสารหนี้ภายในประเทศชนิดโลว์โอเวอร์สูงขึ้น ซี่งที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่ประมาณ 2.6% ก็จะเริ่มเห็นเป็น 3%ได้ และผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกองประเภทนี้มากขึ้นได้หลังจากนี้”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา จะไม่กระทบต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากนัก เนื่องจากกลุ่มลูกค้าจะเป็นคนและกลุ่มกัน แต่น่าจะมีผลในส่วนของลูกค้าใหม่ที่ยังนิยมการฝากเงินอยู่
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบด้านผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกันแล้ว การลงทุนในกองทุนรวมยังได้รับผบตอบแทนมากกว่า อีกทั้งผลตอบแทนที่ได้ยังไม่ต้องภาษีอีกด้วย
“ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เพราะคนลงทุนมันคนละกลุ่มกัน แต่หากมองเรื่องผลตอบแทนแล้ว การลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงพอๆ กัน ผลตอบแทนถึงมันจะใกล้เคียงกัน แต่กองทุนไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยแบงก์ที่ขึ้นส่วนใหญ่ เป็นเงินฝากระยะยาวด้วยคงไม่มีผลมากนัก”นางวิวรรณกล่าว
ส่วนการลงทุนในกองทุนพันธบัตรต่างประเทศเองขณะนี้ยังคงมีความน่าสนใจอยู่เช่นกัน เนื่องจากผลตอบแทนยังคงสูงกว่าการลงทุนในประเทศคือประมาณ 3.8% ซึ่งบริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนพันธบัตรเกาหลี P เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน ซึ่งกองนี้จะมีมูลค่าประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท และนับเป็นกองที่ 16 แล้วตั้งแต่บริษัทมีการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรเกาหลี
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้ ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทมีการปรับประมาณการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงจาก 960 เหลือ 900 จุด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังคงน่าสนใจอยู่เนื่องจาก หลักทรัพย์บางตัวที่มีพื้นฐานดียังมีราคาถูกอยู่ และเชื่อว่าหากดัชนีปรับลดลงต่ำน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนอีกด้วย
“ราคาน้ำมันสงผลกระทบต่อตลาดหุ้นมาก ทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดิบระยาวเกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรลไปแล้ว และมีคนพูดไปถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรลเลยทีเดียว ซึ่งในสหรัฐเองตอนนี้เป็นช่วงท่องเที่ยว ขับรถไปตามที่ต่างๆ ทำให้ต้องใช้น้ำมันเยอะมาก และจะทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปอีก”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีการปรับเพิ่มุขึ้นได้ เนื่องจากการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในปัจจุบัน โดยเงินเฟ้อที่บริษัทคาดการณ์ไว้เดิมจะอยู่ที่ประมาณ 4.5% แต่ปัจจุบันมีการปรับเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 2 ครั้งคือ 5.5% และ 6% ซึ่งหลังจากนี้อาจจะต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกเป็น 6.5% ได้เช่นกัน หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พี ของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(กนง.) คงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่เชื่อว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.25%-0.5% ได้ภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเชื่อว่า จะทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศได้รับความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทมีกองทุนประเภทโลว์โอเวอร์ เอาไว้รองรับอยู่แล้วทั้งประเภท 3 เดือน และ 6 เดือน
“แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น น่าจะทำให้ผลตอบแทนของกองตราสารหนี้ภายในประเทศชนิดโลว์โอเวอร์สูงขึ้น ซี่งที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่ประมาณ 2.6% ก็จะเริ่มเห็นเป็น 3%ได้ และผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกองประเภทนี้มากขึ้นได้หลังจากนี้”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา จะไม่กระทบต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากนัก เนื่องจากกลุ่มลูกค้าจะเป็นคนและกลุ่มกัน แต่น่าจะมีผลในส่วนของลูกค้าใหม่ที่ยังนิยมการฝากเงินอยู่
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบด้านผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกันแล้ว การลงทุนในกองทุนรวมยังได้รับผบตอบแทนมากกว่า อีกทั้งผลตอบแทนที่ได้ยังไม่ต้องภาษีอีกด้วย
“ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เพราะคนลงทุนมันคนละกลุ่มกัน แต่หากมองเรื่องผลตอบแทนแล้ว การลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงพอๆ กัน ผลตอบแทนถึงมันจะใกล้เคียงกัน แต่กองทุนไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยแบงก์ที่ขึ้นส่วนใหญ่ เป็นเงินฝากระยะยาวด้วยคงไม่มีผลมากนัก”นางวิวรรณกล่าว
ส่วนการลงทุนในกองทุนพันธบัตรต่างประเทศเองขณะนี้ยังคงมีความน่าสนใจอยู่เช่นกัน เนื่องจากผลตอบแทนยังคงสูงกว่าการลงทุนในประเทศคือประมาณ 3.8% ซึ่งบริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนพันธบัตรเกาหลี P เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน ซึ่งกองนี้จะมีมูลค่าประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท และนับเป็นกองที่ 16 แล้วตั้งแต่บริษัทมีการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรเกาหลี
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้ ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทมีการปรับประมาณการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงจาก 960 เหลือ 900 จุด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังคงน่าสนใจอยู่เนื่องจาก หลักทรัพย์บางตัวที่มีพื้นฐานดียังมีราคาถูกอยู่ และเชื่อว่าหากดัชนีปรับลดลงต่ำน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนอีกด้วย
“ราคาน้ำมันสงผลกระทบต่อตลาดหุ้นมาก ทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดิบระยาวเกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรลไปแล้ว และมีคนพูดไปถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรลเลยทีเดียว ซึ่งในสหรัฐเองตอนนี้เป็นช่วงท่องเที่ยว ขับรถไปตามที่ต่างๆ ทำให้ต้องใช้น้ำมันเยอะมาก และจะทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปอีก”นางวิวรรณกล่าว