จีอี มันนี่เผยมีลูกหนี้เข้าโครงการบรรเทาภาระหนี้เกือบหมื่นราย เหตุผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่สูง แต่ยอดสินเชื่อ 5 เดือนแรกยังโตตามเป้า และคาดว่าทั้งปีจะโตได้ 10%ตามที่ตั้งไว้ ส่วนเอ็นพีแอลยังอยู่ที่ 3.4% จากทั้งระบบ 4% พร้อมจัดงบ 10 ล้าน เผยแพร่โครงการ "คิดให้ดี ใช้ให้เป็น" ระบุกลยุทธระยะยาวของบริษัทที่มุ่งผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการปล่อยสินเชื่อและการให้บริการกับลูกค้าอย่างรับผิดชอบ
นายพิริยะ วิเศษจินดา กรรมการผู้จัดการใหญ่จีอี มันนี่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา การปล่อยสินเชื่อของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จากทั้งปีที่คาดว่าจะโตประมาณ 10% ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากค่าครองชีพและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงคาดว่าจนถึงสิ้นปีบริษัทจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ จากปัจจุบันที่บริษัทมีฐานลูกค้าในส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารประมาณ 4 ล้านราย แบ่งเป็นสินเชื่อผ่อนชำระและสินเชื่อบุคคลจำนวน 1.9 ล้านใบ สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตกรุงศรี จีอี บัตรเครดิตโอมโปร วีซ่า และสินเชื่อกรุงศรีจีอี ดรีมโลน จำนวน 8 แสนใบ บัตรเจอเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส 8.8 แสนใบ และบัตรเทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำนวน 5.5 แสนใบ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวโครงการ "คิดให้ดี ใช้ให้เป็น" มุ่งสนับสนุนให้ผู้บริโภคคิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า หรือใช้บริการสินเชื่อประเภทต่างๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธระยะยาวของบริษัทที่มุ่งผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการปล่อยสินเชื่อและการให้บริการกับลูกค้าอย่างรับผิดชอบ โดยในช่วง 90 วันข้างหน้า บริษัทจะเผยแพร่สโลแกนและตราสัญลักษณ์โครงการดังกล่าวบนสิ่งพิมพ์กว่า 12 ล้านชิ้น และใช้งบประมาณในการเผยแพร่ประมาณ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคของจีอี มันนี่ที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ ที่ระบุว่าผู้บริโภคจัดอันดับให้ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการทางการเงินเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ นอกจากนี้บริษัทยังพบว่าลูกค้าที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและให้เกียรติจะกลับมาใช้บริการอีก ทั้งยังแนะนำคนที่รู้จักให้มาใช้บริการอีกด้วย
สำหรับความคืบหน้าของโครงการบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ที่มีปัญหานั้น ขณะนี้ได้มีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการแล้วประมาณเกือบ 1 หมื่นราย ซึ่งถือว่าเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพสูงส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจนถึงสิ้นปีจะมีลูกหนี้เข้าร่วมกี่ราย ขณะที่ยอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)อยู่ในระดับ 3.4% จากเอ็นพีแอลรวมของระบบที่อยู่ในระดับ 4%
"ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในขณะนี้ เป็นเรื่องที่บริษัทคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ตั้งไว้แค่ 10%จากก่อนหน้านี้ที่เรามักจะตั้งไว้ว่าโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ส่วนในครึ่งปีหลังนี้ ก็คงจะไม่มีความแตกต่างจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รวมถึงในปีหน้าที่คาดว่าจะยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก และสินเชื่อของบริษัทน่าจะโตประมาณ 10-15% ซึ่งจะมีการสรุปชัดเจนอีกครั้งประมาณเดือน 9-10"นายพิริยะกล่าว
นายพิริยะ วิเศษจินดา กรรมการผู้จัดการใหญ่จีอี มันนี่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา การปล่อยสินเชื่อของบริษัทยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จากทั้งปีที่คาดว่าจะโตประมาณ 10% ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากค่าครองชีพและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงคาดว่าจนถึงสิ้นปีบริษัทจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ จากปัจจุบันที่บริษัทมีฐานลูกค้าในส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารประมาณ 4 ล้านราย แบ่งเป็นสินเชื่อผ่อนชำระและสินเชื่อบุคคลจำนวน 1.9 ล้านใบ สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตกรุงศรี จีอี บัตรเครดิตโอมโปร วีซ่า และสินเชื่อกรุงศรีจีอี ดรีมโลน จำนวน 8 แสนใบ บัตรเจอเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส 8.8 แสนใบ และบัตรเทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำนวน 5.5 แสนใบ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวโครงการ "คิดให้ดี ใช้ให้เป็น" มุ่งสนับสนุนให้ผู้บริโภคคิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า หรือใช้บริการสินเชื่อประเภทต่างๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธระยะยาวของบริษัทที่มุ่งผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการปล่อยสินเชื่อและการให้บริการกับลูกค้าอย่างรับผิดชอบ โดยในช่วง 90 วันข้างหน้า บริษัทจะเผยแพร่สโลแกนและตราสัญลักษณ์โครงการดังกล่าวบนสิ่งพิมพ์กว่า 12 ล้านชิ้น และใช้งบประมาณในการเผยแพร่ประมาณ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคของจีอี มันนี่ที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ ที่ระบุว่าผู้บริโภคจัดอันดับให้ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการทางการเงินเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ นอกจากนี้บริษัทยังพบว่าลูกค้าที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและให้เกียรติจะกลับมาใช้บริการอีก ทั้งยังแนะนำคนที่รู้จักให้มาใช้บริการอีกด้วย
สำหรับความคืบหน้าของโครงการบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ที่มีปัญหานั้น ขณะนี้ได้มีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการแล้วประมาณเกือบ 1 หมื่นราย ซึ่งถือว่าเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพสูงส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจนถึงสิ้นปีจะมีลูกหนี้เข้าร่วมกี่ราย ขณะที่ยอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)อยู่ในระดับ 3.4% จากเอ็นพีแอลรวมของระบบที่อยู่ในระดับ 4%
"ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในขณะนี้ เป็นเรื่องที่บริษัทคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ตั้งไว้แค่ 10%จากก่อนหน้านี้ที่เรามักจะตั้งไว้ว่าโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ส่วนในครึ่งปีหลังนี้ ก็คงจะไม่มีความแตกต่างจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รวมถึงในปีหน้าที่คาดว่าจะยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก และสินเชื่อของบริษัทน่าจะโตประมาณ 10-15% ซึ่งจะมีการสรุปชัดเจนอีกครั้งประมาณเดือน 9-10"นายพิริยะกล่าว