บลจ.อเบอร์ดีนแนะผู้ลงทุนอย่านั่งทับเงิน เหตุไม่งอกเงยแถมเสื่อมค่าในช่วงอัตราเงินเฟ้อพุ่ง ชี้ช่องส่งเงินกระจายความเสี่ยงลงทุนต่างประเทศ พร้อมหาช่องทางลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะภาษี ผ่านกองทุน LTF-RMF แล้วโยกเงินลดหย่อนภาษีนั้น ซื้อประกันลดภาษีเด้งที่สอง ประเมินตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาส เผยพอร์ตกองทุนหุ้นอเบอร์ดีนถือเงินสดเพียง 1% เท่านั้น
นายโรเบิร์ตฺ เพนนาโลซา ประธานเจ้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อยากแนะนำให้นักลงทุนอย่าถือเงินสดเก็บไว้กับตัว เพราะไม่ได้เพิ่มประโยชน์อะไรให้กับเงินเลย ขณะเดียวกันหากมีเงินสดถือเอาไว้เยอะ ผู้ลงทุนจะไม่รู้เลยว่าเงินเสื่อมค่าแล้วเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ วิธีที่จะทำให้เงินฉลาดขึ้น คือการกระจายการลงทุน และมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้น ต้องลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายเรื่องของภาษี ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วอาจจะนำส่วนที่ได้รับการลดหย่อนภาษีนั้น ไปซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเพื่อลดภาษีเพิ่ม
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเอง แนะนำว่าในช่วงนี้นักลงทุนควรลดความถี่ในการซื้อขายลง เพราะการซื้อขายบ่อยๆ ดังกล่าว จะทำให้เรามีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งหากเราลดการซื้อขายลงยังจะช่วยเฉลี่ยต้นทุนของผู้ลงทุนเองด้วย
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของการเมือง เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนต้องมองหาการลงทุนที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเงินได้ แทนที่จะอยู่นิ่งหรือถือเงินสดไว้เฉยๆ แต่ให้เงินของเราทำงานดีกว่า โดยต้องดูการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ขณะเดียวกัน ต้องดูว่าวิธีการบริหารแบบนี้ เหมาะกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างนี้หรือไม่ นอกจากนี้ ต้องกระจายการลงทุนให้มีความสมดุล เพื่อให้เงินของเราทำงานไปพร้อมกันด้วย”นายโรเบิร์ตกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศเอง บลจ.อเบอร์ดีน เราแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ ซึ่งแม้ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะยังติดลบที่ 5.46% แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มารตรฐาน
ขณะเดียวกัน กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล เวิลด์ เอคควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ ได้รับการพิจารณาให้เป็นกองทุนตราสารทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ดีที่สุด และยังได้รับรางวัล “เดอะ มอร์นิ่งสตาร์ ยูเค ฟันด์ อะวอร์ดส์ 2008” ด้วย ส่วนกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล อีเมอร์จิ้ง โกรท ฟันด์ ยังได้รับการจัดอันดับ AA จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนแอลทีเอฟและอารืเอ็มเอฟเอง ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน โดยการลงทุนของเรายังเน้นสไตล์การลงทุนเดิมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน คือ จะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีการบริหารงานที่โปร่งใส และไม่นิยมหุ้นเก็งกำไร ขณะเดียวกัน จะมองการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ด้วยว่าหุ้นตัวนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้กองทุนได้อย่างไร
นายโรเบิร์ตกล่าวต่อถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียของอเบอร์ดีนว่า ทั้งสองกองทุนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศจีนลงไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะเราคิดว่าอยู่ในช่วงของฟองสบู่ ซึ่งการเติบโตเองมี แต่ตัวราคาหุ้นเองอาจจะแพงเกินไป ส่วนการลงทุนในเวียดนามเองขณะนี้ยังไม่มี แต่ก็เชื่อว่าตลาดเวียดนามเองยังมีโอกาสลงทุนสำหรับเอเชีย แต่ต้องเข้าใจหุ้นและพื้นฐานของบริษัทนั้นจริง รวมถึงดูราคาและคุณภาพของหุ้นที่เหมาะสมด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนของอเบอร์ดีนมีการเข้าไปศึกษาบริษัทในเวียดนามแล้วกว่า 40 บริษัท อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำนักลงทุนว่าอย่าไปตื่นเต้นตามมากนัก เพราะอาจจะเป็นจังหวะหารลงทุนที่ผิดเวลา
สำหรับการลงทุนในประเทศไทย ในส่วนกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล เวิลด์ เอคควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์นั้น มีสัดส่วนการลงทุนในไทยประมาณ 5% ซึ่งการลงทุนดังกล่าวไม่ได้ลงทุนในหุ้นบิ้กแคปขนาดใหญ่ มีเพียงหุ้นของ ปตท.สผ. เท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีการขายทำกำไรในหุ้นดังกล่าว เพื่อเพิ่มสัดส่วนในหุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น
“ในไทยเองเรายังดูความไม่แน่นอนทางการเมืองอยู่ แต่ก็เห็นโอกาสจากการลงทุนได้เช่นกัน เพราะเราจะดูคุณภาพของหุ้นก่อน ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวเราอาจจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ หากหุ้นนั้นดีและราคาถูกลง โดยปัจจุบันกองทุนหุ้นในไทยเองมีการลงทุนที่ค่อนข้างเต็มที่ มีสัดส่วนการถือเงินสดประมาณ 1% เท่านั้น”นายโรเบิร์ตกล่าว
ส่วนผลกระทบเรื่องของน้ำมัน หุ้นที่บริษัทลงทุนได้รับผลกระทบบ้าง ในแง่ของการใช้จ่ายและกำไรที่ลดลง แต่เราก็มานั่งดูทีละบริษัทและให้ความสำคัญกับผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ ว่ามีวิธีบริหารจัดการเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร แต่หากเราเห็นว่าบางบริษัทที่ลดลงโดยไร้สาเหตุเราก็อาจจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น
นายโรเบิร์ตฺ เพนนาโลซา ประธานเจ้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อยากแนะนำให้นักลงทุนอย่าถือเงินสดเก็บไว้กับตัว เพราะไม่ได้เพิ่มประโยชน์อะไรให้กับเงินเลย ขณะเดียวกันหากมีเงินสดถือเอาไว้เยอะ ผู้ลงทุนจะไม่รู้เลยว่าเงินเสื่อมค่าแล้วเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ วิธีที่จะทำให้เงินฉลาดขึ้น คือการกระจายการลงทุน และมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้น ต้องลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายเรื่องของภาษี ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วอาจจะนำส่วนที่ได้รับการลดหย่อนภาษีนั้น ไปซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเพื่อลดภาษีเพิ่ม
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเอง แนะนำว่าในช่วงนี้นักลงทุนควรลดความถี่ในการซื้อขายลง เพราะการซื้อขายบ่อยๆ ดังกล่าว จะทำให้เรามีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งหากเราลดการซื้อขายลงยังจะช่วยเฉลี่ยต้นทุนของผู้ลงทุนเองด้วย
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของการเมือง เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนต้องมองหาการลงทุนที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเงินได้ แทนที่จะอยู่นิ่งหรือถือเงินสดไว้เฉยๆ แต่ให้เงินของเราทำงานดีกว่า โดยต้องดูการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ขณะเดียวกัน ต้องดูว่าวิธีการบริหารแบบนี้ เหมาะกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างนี้หรือไม่ นอกจากนี้ ต้องกระจายการลงทุนให้มีความสมดุล เพื่อให้เงินของเราทำงานไปพร้อมกันด้วย”นายโรเบิร์ตกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศเอง บลจ.อเบอร์ดีน เราแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ ซึ่งแม้ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะยังติดลบที่ 5.46% แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มารตรฐาน
ขณะเดียวกัน กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล เวิลด์ เอคควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ ได้รับการพิจารณาให้เป็นกองทุนตราสารทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ดีที่สุด และยังได้รับรางวัล “เดอะ มอร์นิ่งสตาร์ ยูเค ฟันด์ อะวอร์ดส์ 2008” ด้วย ส่วนกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล อีเมอร์จิ้ง โกรท ฟันด์ ยังได้รับการจัดอันดับ AA จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนแอลทีเอฟและอารืเอ็มเอฟเอง ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน โดยการลงทุนของเรายังเน้นสไตล์การลงทุนเดิมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน คือ จะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีการบริหารงานที่โปร่งใส และไม่นิยมหุ้นเก็งกำไร ขณะเดียวกัน จะมองการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ด้วยว่าหุ้นตัวนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้กองทุนได้อย่างไร
นายโรเบิร์ตกล่าวต่อถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียของอเบอร์ดีนว่า ทั้งสองกองทุนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศจีนลงไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะเราคิดว่าอยู่ในช่วงของฟองสบู่ ซึ่งการเติบโตเองมี แต่ตัวราคาหุ้นเองอาจจะแพงเกินไป ส่วนการลงทุนในเวียดนามเองขณะนี้ยังไม่มี แต่ก็เชื่อว่าตลาดเวียดนามเองยังมีโอกาสลงทุนสำหรับเอเชีย แต่ต้องเข้าใจหุ้นและพื้นฐานของบริษัทนั้นจริง รวมถึงดูราคาและคุณภาพของหุ้นที่เหมาะสมด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนของอเบอร์ดีนมีการเข้าไปศึกษาบริษัทในเวียดนามแล้วกว่า 40 บริษัท อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำนักลงทุนว่าอย่าไปตื่นเต้นตามมากนัก เพราะอาจจะเป็นจังหวะหารลงทุนที่ผิดเวลา
สำหรับการลงทุนในประเทศไทย ในส่วนกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล เวิลด์ เอคควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์นั้น มีสัดส่วนการลงทุนในไทยประมาณ 5% ซึ่งการลงทุนดังกล่าวไม่ได้ลงทุนในหุ้นบิ้กแคปขนาดใหญ่ มีเพียงหุ้นของ ปตท.สผ. เท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีการขายทำกำไรในหุ้นดังกล่าว เพื่อเพิ่มสัดส่วนในหุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น
“ในไทยเองเรายังดูความไม่แน่นอนทางการเมืองอยู่ แต่ก็เห็นโอกาสจากการลงทุนได้เช่นกัน เพราะเราจะดูคุณภาพของหุ้นก่อน ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวเราอาจจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ หากหุ้นนั้นดีและราคาถูกลง โดยปัจจุบันกองทุนหุ้นในไทยเองมีการลงทุนที่ค่อนข้างเต็มที่ มีสัดส่วนการถือเงินสดประมาณ 1% เท่านั้น”นายโรเบิร์ตกล่าว
ส่วนผลกระทบเรื่องของน้ำมัน หุ้นที่บริษัทลงทุนได้รับผลกระทบบ้าง ในแง่ของการใช้จ่ายและกำไรที่ลดลง แต่เราก็มานั่งดูทีละบริษัทและให้ความสำคัญกับผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ ว่ามีวิธีบริหารจัดการเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร แต่หากเราเห็นว่าบางบริษัทที่ลดลงโดยไร้สาเหตุเราก็อาจจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น