บลจ.เอวายเอฟ ขยายกรอบลงทุน "LTF-RMF" รับการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีจาก 300,000 บาทเป็น 500,000 บาท ผ่านทุกช่องทาง ทั้งตู้เอทีเอ็ม Call Center เเละอินเทอร์เน็ต คาดสิ้นปีนี้ ทั้งสองกองจะโตขึ้นกว่า 1,400 ล้านบาทเเน่นอน ล่าสุด เปิดไอพีโอ "อยุธยาตราสารหนี้พลัส 3M3"เเละ"อยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M4" ถึง 30 มิถุนายน นี้
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า บลจ. ในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิดได้ประกาศการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ภายใต้การจัดการ จำนวน 10 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยา SET50 กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาอิควิตี้ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล 70/30 กองทุนเปิดอยุธยาพันธบัตรเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยาทวีทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยา SET100 เพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยาอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ
โดยบริษัทจัดการได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้แก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมดังกล่าว เกี่ยวกับวิธีการสั่งซื้อหน่วยลงทุน โดยมีวิธีการสั่งซื้อหน่วยลงทุน ผ่านทุกช่องทาง ได้แก่ ทางบริษัทจัดการ ผ่านทางผู้สนับสนุน ผ่านช่องทางเอทีเอ็ม(ATM) แบบประจำ ทางระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ และระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนได้ ไม่เกิน 300,000 บาท ต่อครั้ง หรือ 15% ของรายได้ต่อปี มาเป็น สามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อครั้ง
นายประภาส กล่าวเพิ่มเติ่มว่า บริษัทคาดว่ากองทุนรวม RMF และ LTF จะสามารถขยายฐานลูกค้าหรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากกว่า 1,400 ล้านบาท โดยคาดว่ากองทุน LTF จะโตขึ้นประมาณ1,000 ล้านบาท และกองทุน RMF จะโตขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท จากการที่กรมสรรพากรประกาศเพิ่มฐานการลงทุนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท ทำให้นักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนและกระจายการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนใน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 100,000 บาท และลงทุนใน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว 200,000 บาท แต่เมื่อ เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท นักลงทุนจะสามารถลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200,000 บาท เหลืออีก 300,000 บาท ลงทุนในกองทุน LTF
ทั้งนี้ จากการที่กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายใหม่มา ทำให้ส่งผลดีต่อนักลงทุนที่มีรายได้สูงมากว่านักลงทุนระดับกลาง เพราะว่านักลงทุนที่สามารถลงทุน 500,000 บาท จะต้องมีรายได้ 3,300,000 ล้านบาทต่อปี แต่สำหรับคนที่มี รายได้ตั้งแต่ 2,000,000 ล้านบาท ถึง 2,500,000 ล้านบาท 15% ของเงินได้ก็จะมีเงินลงทุนเพียงแค่ 300,000 บาทต่อปีเท่านั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปรับขึ้นของกรมสรรพากรครั้งนี้เอื้อต่อนักลงทุนที่มีรายได้เยอะ
จากการขยายวงเงินลดหย่อนภาษีจาก 300,000 เป็น 500,000 บาทนั้น ทางบลจ. คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าทั้ง RMFและ LTF ได้อย่างแน่นอน แต่ต้องมองว่า สำหรับนักลงทุนที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มได้นั้นจะมีความสุขกับการลงทุนเพิ่มตรงนี้หรือไม่ เพราะการเพิ่มการลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของนักลงทุนที่มีรายได้สูงมากกว่านักลงทุนธรรมดาทั่วไป
นอกจากนี้ ทางบลจ. เอวายเอฟ ได้มีกองทุนLTF ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปีตามกติกาที่กำหนดไว้ ในปีนี้ จะต้องดูว่าเมื่อครบกำหนดแล้วนักลงทุนต้องการที่จะนำหุ้นส่วนนี้ออกขายหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากองทุน LTF สามารถให้ผลตอบแทนได้เกือบ 100% ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการที่ถอนหุ้น LTF เพื่อมาเพิ่มการลงทุนใน LTF และ RMF ให้ครบตามที่กรมสรรพากรกำหนด หากนักลงทุนเก่ามีการถอนหุ้นเก่าเพื่อนำมาใช้เพิ่มทุนนั้น จะไม่ทำให้ทางบลจ.เพิ่มฐานได้มากเท่าที่ควร
ขณะเดียวกันบลจ.ได้เปิดขายกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 3M3 (AYF3MPLS3) และกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M4 (AYF6MPLS4) ซึ่งเป็นกองทุนอายุ 3 เดือน และ 6 เดือน โดยกองทุนดังกล่าว จะลงทุนใน ตราสารที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ (ECP)ได้แก่ Rabobank, Bank of Scotland, Calyon Bank และลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลี เหลือไม่เกิน 40% ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุน และคาดว่าทั้งสองกองทุนจะได้รับอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.10% และ 3.50% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.50% ตั้งเเต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า บลจ. ในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิดได้ประกาศการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ภายใต้การจัดการ จำนวน 10 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยา SET50 กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาอิควิตี้ กองทุนเปิดหุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล 70/30 กองทุนเปิดอยุธยาพันธบัตรเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยาทวีทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยา SET100 เพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนเปิดอยุธยาอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ
โดยบริษัทจัดการได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้แก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมดังกล่าว เกี่ยวกับวิธีการสั่งซื้อหน่วยลงทุน โดยมีวิธีการสั่งซื้อหน่วยลงทุน ผ่านทุกช่องทาง ได้แก่ ทางบริษัทจัดการ ผ่านทางผู้สนับสนุน ผ่านช่องทางเอทีเอ็ม(ATM) แบบประจำ ทางระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ และระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนได้ ไม่เกิน 300,000 บาท ต่อครั้ง หรือ 15% ของรายได้ต่อปี มาเป็น สามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อครั้ง
นายประภาส กล่าวเพิ่มเติ่มว่า บริษัทคาดว่ากองทุนรวม RMF และ LTF จะสามารถขยายฐานลูกค้าหรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากกว่า 1,400 ล้านบาท โดยคาดว่ากองทุน LTF จะโตขึ้นประมาณ1,000 ล้านบาท และกองทุน RMF จะโตขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท จากการที่กรมสรรพากรประกาศเพิ่มฐานการลงทุนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท ทำให้นักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนและกระจายการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนใน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 100,000 บาท และลงทุนใน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว 200,000 บาท แต่เมื่อ เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท นักลงทุนจะสามารถลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200,000 บาท เหลืออีก 300,000 บาท ลงทุนในกองทุน LTF
ทั้งนี้ จากการที่กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายใหม่มา ทำให้ส่งผลดีต่อนักลงทุนที่มีรายได้สูงมากว่านักลงทุนระดับกลาง เพราะว่านักลงทุนที่สามารถลงทุน 500,000 บาท จะต้องมีรายได้ 3,300,000 ล้านบาทต่อปี แต่สำหรับคนที่มี รายได้ตั้งแต่ 2,000,000 ล้านบาท ถึง 2,500,000 ล้านบาท 15% ของเงินได้ก็จะมีเงินลงทุนเพียงแค่ 300,000 บาทต่อปีเท่านั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปรับขึ้นของกรมสรรพากรครั้งนี้เอื้อต่อนักลงทุนที่มีรายได้เยอะ
จากการขยายวงเงินลดหย่อนภาษีจาก 300,000 เป็น 500,000 บาทนั้น ทางบลจ. คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าทั้ง RMFและ LTF ได้อย่างแน่นอน แต่ต้องมองว่า สำหรับนักลงทุนที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มได้นั้นจะมีความสุขกับการลงทุนเพิ่มตรงนี้หรือไม่ เพราะการเพิ่มการลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของนักลงทุนที่มีรายได้สูงมากกว่านักลงทุนธรรมดาทั่วไป
นอกจากนี้ ทางบลจ. เอวายเอฟ ได้มีกองทุนLTF ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปีตามกติกาที่กำหนดไว้ ในปีนี้ จะต้องดูว่าเมื่อครบกำหนดแล้วนักลงทุนต้องการที่จะนำหุ้นส่วนนี้ออกขายหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากองทุน LTF สามารถให้ผลตอบแทนได้เกือบ 100% ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการที่ถอนหุ้น LTF เพื่อมาเพิ่มการลงทุนใน LTF และ RMF ให้ครบตามที่กรมสรรพากรกำหนด หากนักลงทุนเก่ามีการถอนหุ้นเก่าเพื่อนำมาใช้เพิ่มทุนนั้น จะไม่ทำให้ทางบลจ.เพิ่มฐานได้มากเท่าที่ควร
ขณะเดียวกันบลจ.ได้เปิดขายกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 3M3 (AYF3MPLS3) และกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M4 (AYF6MPLS4) ซึ่งเป็นกองทุนอายุ 3 เดือน และ 6 เดือน โดยกองทุนดังกล่าว จะลงทุนใน ตราสารที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ (ECP)ได้แก่ Rabobank, Bank of Scotland, Calyon Bank และลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลี เหลือไม่เกิน 40% ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุน และคาดว่าทั้งสองกองทุนจะได้รับอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.10% และ 3.50% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.50% ตั้งเเต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551