ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย 3 บริษัท LIVE BLISS และ IEC เป็น บจ. ที่มีผลงานขาดทุนสุทธิหากไม่รวมกำไรจากเงินลงทุน อีกทั้งมีการซื้อขายเงินลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ตามที่บริษัทจดทะเบียนได้นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มายังตลาดหลักทรัพย์ และโดยที่สำนักงานก.ล.ต.กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยยอดซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างงวดที่มีสาระสำคัญในหมายเหตุประกอบงบการเงิน กรณีบริษัทมีผลรวมค่าสัมบูรณ์ของรายการซื้อและรายการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนเกิน 2 เท่าของยอดคงค้างของเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน และผลรวมดังกล่าวเกิน 5% ของสินทรัพย์รวม ณ วันสิ้นงวด ทั้งนี้ การนำส่งงบการเงินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2551 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน และประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้น
ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (โดยไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์และประกันภัยและประกันชีวิต) และเป็นบริษัทที่หากไม่รวมกำไรจากเงินลงทุนแล้วจะมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน มี 3 บริษัท คือ บริษัทไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) บริษัทบลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS) และบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) จากข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงินรวม สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 และข้อมูลที่บริษัทเคยชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ สรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้
1. โครงสร้างรายได้ของ LIVE BLISS และ IEC มาจาก กำไรจากเงินลงทุนคิดเป็น 58% 44% และ 40% ของรายได้รวม ตามลำดับ โดยมีวงเงินลงทุนดังนี้คือ IEC และบริษัทย่อย มีวงเงินลงทุนทั้งบัญชีเงินสดและมาร์จิ้นไม่เกิน 1,010 ล้านบาท ส่วน LIVE และบริษัทย่อย มีวงเงินลงทุนไม่เกิน 150 ล้านบาท แต่สามารถนำผลตอบแทนจาก และ การลงทุนมาลงทุนเพิ่มเติมได้BLISS ไม่มีข้อจำกัดในวงเงินลงทุน
2. BLISS และ IEC ลงทุนใน LIVE คิดเป็น 88% และ 87% ของเงินลงทุนชั่วคราวตามราคาทุน
3. ผู้สอบบัญชีของ LIVE มีข้อสังเกตตั้งแต่งบการเงินประจำปี 2550 ถึงงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2551 เกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง เป็นผลจากสาเหตุหลักที่ทำให้ LIVE และบริษัทย่อยมีกำไรเกิดจากรายได้อื่น ที่มิใช่รายได้จากกิจการหลัก หากไม่รวมรายได้อื่นจะแสดงผลขาดทุนสุทธิ มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง โดยมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ และผลการดำเนินงานยังอยู่ในช่วงการดำเนินตามแผนธุรกิจซึ่งปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ปลายปี 2550ทำให้ยังไม่ปรากฏผลการดำเนินงานในปัจจุบันโดยระบุว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทและบริษัทย่อย
โดยจากผลการดำเนินงาน การลงทุนและรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย LIVE ซื้อเงินลงทุนปี 50 เท่ากับ 1,757 ล้านบาท Q1ปี 51 702 ล้านบาท BLISS ซื้อเงินลงทุน ปี50 เท่ากับ 3,490 ล้านบาท Q1ปี 51 เท่ากับ 456 ล้านบาท และ IEC ปี 50 เท่ากับ 954 ล้านบาท Q1ปี 51เท่ากับ 380 ล้านบาท ขณะที่ขายเงินลงทุนนั้น LIVE ขายในปี 50 เท่ากับ 1,521 ล้านบาท Q1 ปีนี้ 806 ล้านบาท BLISS ขายเงินลงทุนปี 50 คือ 3,080 ล้านบาท Q1ปี51เท่ากับ 288 และ IEC ขายปี 50เท่ากับ 904 ล้านบาท Q1 ปี 51 คือ 85 ล้านบาท
ขณะที่ผลรวมค่าสัมบูรณ์การซื้อและขายเงินลงทุนของ BLISS ปี 50 คือ 3,278 ล้านบาท Q1ปี 51 เท่ากับ 1,508 ล้านบาท IEC ปี50เท่ากับ 6,570 ล้านบาท และQ1 ปี 51 คือ 744 ล้านบาท ส่วน LIVE ปี 50 เท่ากับ 1,858 ล้านบาท และQ1 ปี 51 เท่ากับ 465 ล้านบาท ขณะที่ LIVE Q1 ปี 51 มีรายได้จากการขาย 60 ล้านบาท BLISS มีรายได้ 689 ล้านบาทและ IECมีรายได้ 994 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท 471 ล้านบาท และ 728 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีผลขาดทุนจากเงินลงทุน 27 ล้านบาท 65 ล้านบาท และ12 ล้านบาท ตามลำดับ
อนึ่ง IEC มีเงินลงทุนใน BLISS 245 ล้านบาท คิดเป็น 16.50%ของทุนชำระแล้วของ BLISS โดยแสดงเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม และ IEC ได้ขาย BLISS ทั้งหมดแล้วเมื่อ 7 มีนาคม 2551 และราคาหุ้น BLISS ณ 28 ธันวาคม 2550 ได้ปรับเป็น Par 0.10 บาทต่อหุ้นแล้ว เพื่อการเปรียบเทียบ
โดยผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเฉพาะใน 3 บริษัทดังกล่าว ประกอบด้วย ตระกูลลี้อิสสระนุกูล ถือหุ้นใน LIVE 14.84% IEC4.62 % BLISS 6.28% ตระกูลบูลภักดิ์ ถือ LIVE 14.03 % IEC 8.16 % BLISS 4.98% ตระกูลพิทักษ์ ตระกูลเบ็ญจนิรัตน์ ถือ LIVE6.09 % IEC 7.89 % BLISS 9.04%
ขณะที่ นางสัณห์จุฑา วิชชาวุธ เป็นประธานกรรมการบริหาร/รองประธานกรรมการ/กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ใน IEC และเป็น ประธานกรรมการบริหาร/ กรรมการใน BLISS
ตามที่บริษัทจดทะเบียนได้นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มายังตลาดหลักทรัพย์ และโดยที่สำนักงานก.ล.ต.กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยยอดซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างงวดที่มีสาระสำคัญในหมายเหตุประกอบงบการเงิน กรณีบริษัทมีผลรวมค่าสัมบูรณ์ของรายการซื้อและรายการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนเกิน 2 เท่าของยอดคงค้างของเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน และผลรวมดังกล่าวเกิน 5% ของสินทรัพย์รวม ณ วันสิ้นงวด ทั้งนี้ การนำส่งงบการเงินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2551 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน และประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้น
ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (โดยไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์และประกันภัยและประกันชีวิต) และเป็นบริษัทที่หากไม่รวมกำไรจากเงินลงทุนแล้วจะมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน มี 3 บริษัท คือ บริษัทไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) บริษัทบลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS) และบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) จากข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงินรวม สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 และข้อมูลที่บริษัทเคยชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ สรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้
1. โครงสร้างรายได้ของ LIVE BLISS และ IEC มาจาก กำไรจากเงินลงทุนคิดเป็น 58% 44% และ 40% ของรายได้รวม ตามลำดับ โดยมีวงเงินลงทุนดังนี้คือ IEC และบริษัทย่อย มีวงเงินลงทุนทั้งบัญชีเงินสดและมาร์จิ้นไม่เกิน 1,010 ล้านบาท ส่วน LIVE และบริษัทย่อย มีวงเงินลงทุนไม่เกิน 150 ล้านบาท แต่สามารถนำผลตอบแทนจาก และ การลงทุนมาลงทุนเพิ่มเติมได้BLISS ไม่มีข้อจำกัดในวงเงินลงทุน
2. BLISS และ IEC ลงทุนใน LIVE คิดเป็น 88% และ 87% ของเงินลงทุนชั่วคราวตามราคาทุน
3. ผู้สอบบัญชีของ LIVE มีข้อสังเกตตั้งแต่งบการเงินประจำปี 2550 ถึงงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2551 เกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง เป็นผลจากสาเหตุหลักที่ทำให้ LIVE และบริษัทย่อยมีกำไรเกิดจากรายได้อื่น ที่มิใช่รายได้จากกิจการหลัก หากไม่รวมรายได้อื่นจะแสดงผลขาดทุนสุทธิ มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่อง โดยมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ และผลการดำเนินงานยังอยู่ในช่วงการดำเนินตามแผนธุรกิจซึ่งปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ปลายปี 2550ทำให้ยังไม่ปรากฏผลการดำเนินงานในปัจจุบันโดยระบุว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทและบริษัทย่อย
โดยจากผลการดำเนินงาน การลงทุนและรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย LIVE ซื้อเงินลงทุนปี 50 เท่ากับ 1,757 ล้านบาท Q1ปี 51 702 ล้านบาท BLISS ซื้อเงินลงทุน ปี50 เท่ากับ 3,490 ล้านบาท Q1ปี 51 เท่ากับ 456 ล้านบาท และ IEC ปี 50 เท่ากับ 954 ล้านบาท Q1ปี 51เท่ากับ 380 ล้านบาท ขณะที่ขายเงินลงทุนนั้น LIVE ขายในปี 50 เท่ากับ 1,521 ล้านบาท Q1 ปีนี้ 806 ล้านบาท BLISS ขายเงินลงทุนปี 50 คือ 3,080 ล้านบาท Q1ปี51เท่ากับ 288 และ IEC ขายปี 50เท่ากับ 904 ล้านบาท Q1 ปี 51 คือ 85 ล้านบาท
ขณะที่ผลรวมค่าสัมบูรณ์การซื้อและขายเงินลงทุนของ BLISS ปี 50 คือ 3,278 ล้านบาท Q1ปี 51 เท่ากับ 1,508 ล้านบาท IEC ปี50เท่ากับ 6,570 ล้านบาท และQ1 ปี 51 คือ 744 ล้านบาท ส่วน LIVE ปี 50 เท่ากับ 1,858 ล้านบาท และQ1 ปี 51 เท่ากับ 465 ล้านบาท ขณะที่ LIVE Q1 ปี 51 มีรายได้จากการขาย 60 ล้านบาท BLISS มีรายได้ 689 ล้านบาทและ IECมีรายได้ 994 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท 471 ล้านบาท และ 728 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีผลขาดทุนจากเงินลงทุน 27 ล้านบาท 65 ล้านบาท และ12 ล้านบาท ตามลำดับ
อนึ่ง IEC มีเงินลงทุนใน BLISS 245 ล้านบาท คิดเป็น 16.50%ของทุนชำระแล้วของ BLISS โดยแสดงเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม และ IEC ได้ขาย BLISS ทั้งหมดแล้วเมื่อ 7 มีนาคม 2551 และราคาหุ้น BLISS ณ 28 ธันวาคม 2550 ได้ปรับเป็น Par 0.10 บาทต่อหุ้นแล้ว เพื่อการเปรียบเทียบ
โดยผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเฉพาะใน 3 บริษัทดังกล่าว ประกอบด้วย ตระกูลลี้อิสสระนุกูล ถือหุ้นใน LIVE 14.84% IEC4.62 % BLISS 6.28% ตระกูลบูลภักดิ์ ถือ LIVE 14.03 % IEC 8.16 % BLISS 4.98% ตระกูลพิทักษ์ ตระกูลเบ็ญจนิรัตน์ ถือ LIVE6.09 % IEC 7.89 % BLISS 9.04%
ขณะที่ นางสัณห์จุฑา วิชชาวุธ เป็นประธานกรรมการบริหาร/รองประธานกรรมการ/กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ใน IEC และเป็น ประธานกรรมการบริหาร/ กรรมการใน BLISS