ตลท.เร่งตรวจสอบฐานะการเงิน หลังส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ เข้าข่ายถูกเพิกถอน รอผลชี้ชัด 22 เมษายนนี้ โดยยังคงแขวน SP และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินสิ้นปี 50 ขาดทุนอ่วม 977.44 ล้านบาทหรือเกือบ5,300% ขณะที่บอร์ดให้บริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อรับการคุ้มครองและปรับโครงสร้างหนี้
ตลาดหลักทรัพย์แจ้งว่า ตามที่บริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (KTECH) มิได้นำส่งงบการเงินงบการเงินประจำปี 2550 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด คือ 29 ก.พ.51 ทำให้ต้องขึ้นเครื่องหมายSP (Suspension) หลักทรัพย์ของ KTECH ไว้จนกว่า KTECH จะนำส่งงบการเงินฉบับดังกล่าว และขณะนี้ KTECH ได้นำส่งงบการเงินงวดดังกล่าว ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งพบข้อมูลดังนี้
1. มีฐานะการเงินที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน กล่าวคือ KTECH มีส่วนของผู้ถือหุ้น ต่ำกว่าศูนย์ กล่าวคือ ติดลบ 169 ล้านบาท
2.ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน กรณี
- ผู้สอบบัญชีไม่สามารถตรวจสอบให้ได้หลักฐานที่เพียงพอจากผู้บริหารของบริษัทในรูปของเอกสารและคำอธิบายที่เหมาะสมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการก่อสร้างประมาณการรายได้รวมและประมาณการต้นทุนรวม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้บริษัทบันทึกจำนวนทั้งสิ้นที่กิจการมีสิทธิเรียกร้องสำหรับงานก่อสร้างตามสัญญาและรายได้จากงานก่อสร้างและติดตั้งตามสัญญาลดลงจำนวน 685 ล้านบาท และบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นสำหรับลูกหนี้การค้า และเงินประกันผลงานตามสัญญา ณวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 จำนวน 149 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 834 ล้านบาท
- ผู้สอบบัญชีไม่ได้รับหนังสือยืนยันยอดคงเหลือสำหรับบัญชีเจ้าหนี้การค้าและต้นทุนงานก่อสร้างค้างจ่ายจำนวน 492.69 ล้านบาท
- มีความไม่แน่นอนที่เป็นสาระสำคัญซึ่งเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของบริษัท
-ผู้สอบบัญชีไม่สามารถสรุปเกี่ยวกับความถูกต้องและครบถ้วนของการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในงบการเงิน
จากการที่งบการเงินปรากฎส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ ตลาดหลักทรัพย์จึงอยู่ระหว่าง พิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ KTECH ว่าอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอนหรือไม่ นอกจากนี้การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของ KTECH ที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่ได้แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. อาจสั่งการให้ KTECH แก้ไขงบการเงินได้
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงยังคงเครื่องหมาย SP เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ KTECH ต่อไป และขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2551 ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ KTECH ว่าอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอนหรือไม่ไม่เกิน 7 วันทำการหรือภายใน 22 เมษายน 2551
นายโดมินิค เดอ เคโวเคียน กรรมการผู้จัดการ KTECH แจ้งว่าบอร์ดบริษัทได้อนุมัติงบการเงินงวดสิ้นปี 50 ของบริษัท พร้อมอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและมีการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัทฯ ตามบทบัญญัติของ พรบ. ล้มละลายฯ โดยเร็วที่สุด และให้บริษัทฯ เป็นผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย โดยให้กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้มีอำนาจกำหนดผู้ที่จะเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนกำหนดอำนาจและหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวด้วย และให้กรรมการผู้จัดการมีอำนาจ ดำเนินการในรายละเอียดรวมทั้งดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู กิจการนี้ทั้งสิ้น
สำหรับงบงวดสิ้นปี 50 พบว่า KTECH มีผลให้ขาดทุนสุทธิ 977.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 18.35 ล้านบาท ส่งผลให้จากเดิมที่ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท เป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 2.11 บาท หรือขาดทุนเพิ่ม 5,226.65% ซึ่งเกิดจากปัจจัยจำนวนหนึ่งรวมทั้ง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้างที่เกี่ยวกับรายได้ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทั่วไปและ ค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร การเพิ่มขึ้นของค่าปรับต่างๆ รวมทั้งเงินพิเศษ (surcharges) และการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่สงสัยจะสูญ
ตลาดหลักทรัพย์แจ้งว่า ตามที่บริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (KTECH) มิได้นำส่งงบการเงินงบการเงินประจำปี 2550 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด คือ 29 ก.พ.51 ทำให้ต้องขึ้นเครื่องหมายSP (Suspension) หลักทรัพย์ของ KTECH ไว้จนกว่า KTECH จะนำส่งงบการเงินฉบับดังกล่าว และขณะนี้ KTECH ได้นำส่งงบการเงินงวดดังกล่าว ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งพบข้อมูลดังนี้
1. มีฐานะการเงินที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน กล่าวคือ KTECH มีส่วนของผู้ถือหุ้น ต่ำกว่าศูนย์ กล่าวคือ ติดลบ 169 ล้านบาท
2.ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน กรณี
- ผู้สอบบัญชีไม่สามารถตรวจสอบให้ได้หลักฐานที่เพียงพอจากผู้บริหารของบริษัทในรูปของเอกสารและคำอธิบายที่เหมาะสมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการก่อสร้างประมาณการรายได้รวมและประมาณการต้นทุนรวม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้บริษัทบันทึกจำนวนทั้งสิ้นที่กิจการมีสิทธิเรียกร้องสำหรับงานก่อสร้างตามสัญญาและรายได้จากงานก่อสร้างและติดตั้งตามสัญญาลดลงจำนวน 685 ล้านบาท และบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นสำหรับลูกหนี้การค้า และเงินประกันผลงานตามสัญญา ณวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 จำนวน 149 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 834 ล้านบาท
- ผู้สอบบัญชีไม่ได้รับหนังสือยืนยันยอดคงเหลือสำหรับบัญชีเจ้าหนี้การค้าและต้นทุนงานก่อสร้างค้างจ่ายจำนวน 492.69 ล้านบาท
- มีความไม่แน่นอนที่เป็นสาระสำคัญซึ่งเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของบริษัท
-ผู้สอบบัญชีไม่สามารถสรุปเกี่ยวกับความถูกต้องและครบถ้วนของการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในงบการเงิน
จากการที่งบการเงินปรากฎส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ ตลาดหลักทรัพย์จึงอยู่ระหว่าง พิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ KTECH ว่าอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอนหรือไม่ นอกจากนี้การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของ KTECH ที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่ได้แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. อาจสั่งการให้ KTECH แก้ไขงบการเงินได้
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงยังคงเครื่องหมาย SP เพื่อห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ KTECH ต่อไป และขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2551 ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ KTECH ว่าอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอนหรือไม่ไม่เกิน 7 วันทำการหรือภายใน 22 เมษายน 2551
นายโดมินิค เดอ เคโวเคียน กรรมการผู้จัดการ KTECH แจ้งว่าบอร์ดบริษัทได้อนุมัติงบการเงินงวดสิ้นปี 50 ของบริษัท พร้อมอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและมีการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัทฯ ตามบทบัญญัติของ พรบ. ล้มละลายฯ โดยเร็วที่สุด และให้บริษัทฯ เป็นผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย โดยให้กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้มีอำนาจกำหนดผู้ที่จะเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนกำหนดอำนาจและหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวด้วย และให้กรรมการผู้จัดการมีอำนาจ ดำเนินการในรายละเอียดรวมทั้งดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู กิจการนี้ทั้งสิ้น
สำหรับงบงวดสิ้นปี 50 พบว่า KTECH มีผลให้ขาดทุนสุทธิ 977.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 18.35 ล้านบาท ส่งผลให้จากเดิมที่ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท เป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 2.11 บาท หรือขาดทุนเพิ่ม 5,226.65% ซึ่งเกิดจากปัจจัยจำนวนหนึ่งรวมทั้ง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้างที่เกี่ยวกับรายได้ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทั่วไปและ ค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร การเพิ่มขึ้นของค่าปรับต่างๆ รวมทั้งเงินพิเศษ (surcharges) และการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่สงสัยจะสูญ
