ทัช พร็อพเพอร์ตี้ฯ ปูพรมลุยธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ชี้จุดดีช่วยเจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะต้นทุนพุ่งแบบฉุดไม่อยู่ แจงแนวโน้มตลาด1-2ปีขยายตัวต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 20 ราย ตั้งเป้ารายได้รวมปี51กว่า 55 ล้านบาท
นายชาญ ศิริรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง1-2 ปีข้างหน้ายังโตได้อีกมาก จากการสำรวจตลาด พบว่ามีอาคารสำนักงานในศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)จำนวนกว่า 380 อาคาร ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเจ้าโครงอาคารดูแลบริหารจัดการอาคารเอง 67 % ส่วนที่ 33 % จ้างบริษัทบริหารจัดการอาคาร ดำเนินการ สะท้อนให้เห็นว่ายังมีอาคารอีกกว่าครึ่ง ที่ยังไม่มีผู้บริหารจัดการโครงการให้
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทจะเข้าไปรับบริหารจัดการอาคาร อีกทั้งยังสามารถขยายตลาดไปสู่เขตเมืองรอบนอกได้ และยิ่งปัจจุบันมีการขยายโครงการที่อยู่อาศัย ขยายระบบคมนาคม ทำให้อาคารใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว แน่นอนว่าธุรกิจบริหารโครงการก็ต้องขยายบริการเพื่อตอบความต้องการดังกล่าวเช่นกัน
ในขณะเดียวกันปัญหาต้นทุนการดำเนินงานที่ขยับตัวสูง จากราคาน้ำมันที่ส่งผลให้การกำหนดราคาสินค้าและบริการต่างๆ มีราคาสูง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องคอยดูแลรักษาอาคารของตนให้อยู่ในสภาพดี ทั้งผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ทำให้ต้องประสบปัญหาค่าใช้จ่ายจากระบบสาธารณูปโภคและทรัพยากรบุคคลในด้านต่างๆ ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ท่ามกลางการแข่งขันด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นทุกวัน ทำให้ทุกโครงการต้องปรับตัวโดยเน้นการพัฒนาในทุกๆส่วนของโครงการ
จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯได้นำระบบ “บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร” หรือ “Total Facility Management” (TFM) โดยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมามีเจ้าของอาคารที่ใช้บริการในระบบ TFM รวม 10 ราย เช่น อาคารธาราสาทร, อาคารวรรณสรณ์, กลุ่มบริษัท จีอี แคปปิตอล และอาคารสิริภิญโญ ฯลฯ ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นรวม 20 รายและหากเป็นไปตามเป้าจะทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจบริหารโครงการรวม 55 ล้านบาท
นายชาญ ศิริรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง1-2 ปีข้างหน้ายังโตได้อีกมาก จากการสำรวจตลาด พบว่ามีอาคารสำนักงานในศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)จำนวนกว่า 380 อาคาร ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเจ้าโครงอาคารดูแลบริหารจัดการอาคารเอง 67 % ส่วนที่ 33 % จ้างบริษัทบริหารจัดการอาคาร ดำเนินการ สะท้อนให้เห็นว่ายังมีอาคารอีกกว่าครึ่ง ที่ยังไม่มีผู้บริหารจัดการโครงการให้
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทจะเข้าไปรับบริหารจัดการอาคาร อีกทั้งยังสามารถขยายตลาดไปสู่เขตเมืองรอบนอกได้ และยิ่งปัจจุบันมีการขยายโครงการที่อยู่อาศัย ขยายระบบคมนาคม ทำให้อาคารใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว แน่นอนว่าธุรกิจบริหารโครงการก็ต้องขยายบริการเพื่อตอบความต้องการดังกล่าวเช่นกัน
ในขณะเดียวกันปัญหาต้นทุนการดำเนินงานที่ขยับตัวสูง จากราคาน้ำมันที่ส่งผลให้การกำหนดราคาสินค้าและบริการต่างๆ มีราคาสูง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องคอยดูแลรักษาอาคารของตนให้อยู่ในสภาพดี ทั้งผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ทำให้ต้องประสบปัญหาค่าใช้จ่ายจากระบบสาธารณูปโภคและทรัพยากรบุคคลในด้านต่างๆ ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ท่ามกลางการแข่งขันด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นทุกวัน ทำให้ทุกโครงการต้องปรับตัวโดยเน้นการพัฒนาในทุกๆส่วนของโครงการ
จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯได้นำระบบ “บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร” หรือ “Total Facility Management” (TFM) โดยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมามีเจ้าของอาคารที่ใช้บริการในระบบ TFM รวม 10 ราย เช่น อาคารธาราสาทร, อาคารวรรณสรณ์, กลุ่มบริษัท จีอี แคปปิตอล และอาคารสิริภิญโญ ฯลฯ ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นรวม 20 รายและหากเป็นไปตามเป้าจะทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจบริหารโครงการรวม 55 ล้านบาท
