กรมธนารักษ์ไอเดียกระฉูดปัดฝุ่นที่ดินว่างเปล่า 4 มุมเมืองทำตลาดขายสินค้าราคาประหยัดยุคข้าวยากหมากแพงแข่งตลาดอ.ต.ก. เล็งพื้นที่ศักยภาพสูงระยะแรก 2 แห่ง กรมชลประทาน ปากเกร็ด-ยบ่านปากน้ำ พร้อมปรับปรุงตึกเก่าบบส.เปิดเอาท์เล็ตขายสินค้าโอท็อปลูกค้าแบงก์รัฐ
นางพันธ์ทิพย์ สุรทิณฑ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้สั่งการให้กรมธนารักษ์จัดหาที่ราชพัสดุ เพื่อใช้เป็นตลาดขายสินค้าราคาประหยัดให้แก่ประชาชน ในลักษณะเช่นเดียวกันกับตลาด อ.ต.ก. โดยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวคิดที่จะเปิดตลาดทั้ง 4 มุมเมือง ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว 2 แห่ง คือที่ดินราชพัสดุบริเวณกรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่เป็นตลาดเก่า เนื้อที่ 21 ไร่ และที่ดินที่ จ.สมุทรปราการ เนื้อที่ 30 ไร่
“กรมธนารักษ์มีแนวคิดว่า จะให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เป็นผู้บริหารจัดการ โดยกรมธนารักษ์จะคิดค่าเช่าจากธพส. ส่วนจะคิดค่าเช่ากับผู้ค้าหรือไม่นั้นต้องแล้วแต่ระดับนโยบายเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตามหากภาครัฐเป็นคนดำเนินการเอง ราคาค่าเช่า เราก็สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว คงไม่แพง เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยประชาชน ค่าเช่าย่อมถูกกว่าตลาดของเอกชน”
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังได้ให้กรมธนารักษ์ใช้พื้นที่อาคารของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) บริเวณปากซอยราชครู มาจัดทำสถานที่ในลักษณะเอาท์เลต สำหรับให้ลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนำสินค้าที่ผลิตสินค้าขึ้นเอง หรือสินค้าโอทอป มาวางจำหน่ายอีกด้วย โดยที่ดินบริเวณดังกล่าวยังมีที่เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้เสนอว่า จะได้พัฒนาในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างอาคารสูงสำหรับใช้เป็นออฟฟิศให้ส่วนราชการหรือเอกชนเช่าอีกด้วย
ทั้งนี้ที่ดินและอาคารบริเวณดังกล่าวเดิมเป็นทรัพย์สินของ บบส. แต่เมื่อยุบ บบส. ไปควบรวมกิจการกับบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) แล้วจึงต้องส่งคืนให้แก่กรมธนารักษ์ภายในเดือน มิถุนายนนี้
นางพันธ์ทิพย์ กล่าวว่า ส่วนการขอคืนที่ราชพัสดุ 1 ล้านไร่จากส่วนราชการต่างๆ เพื่อนำมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตรในราคาถูกตามนโยบายรัฐบาลนั้นมั่นใจว่าจะขอคืนได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากเป็นการขอคืนที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และบางแห่งถูกบุกรุก จากทุกส่วนราชการ ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกับการขอคืนที่ราชพัสดุที่กรมธนารักษ์ดำเนินการอยู่เดิม ที่จะเน้นขอคืนจาก 3 กระทรวงหลักคือ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงกลาโหม
“อีก 2 เดือนข้างหน้านี้ กรมฯ จะเสนอให้ที่ประชุมครม.อนุมัติโครงการการพัฒนาที่ราชพัสดุในเชิงพาณิชย์ บริเวณ อ.ท่าฉัตรชัย จ.ภูเก็ต เพื่อสร้างเป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ จัดสร้างท่าเรืออินเตอร์ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เข้ามาเที่ยวมากขึ้น รวมถึงรองรับโครงการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) อีกด้วย”
นอกจากนั้น ยังมีโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบนเกาะกูด จ.ตราดที่จะเสนอแผนแม่บท (มาสเตอร์แพลน) ให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบด้วยเช่นกัน โดยกรมธนารักษ์มีแนวคิดนำที่ดินบนเกาะกูด 3 แปลงๆ ละ 50-60 ไร่ มาพัฒนาสร้างโรงแรมหรูและรีสอร์ทระดับบน(ไฮเอนด์) เน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับแนวทางการพัฒนานั้นจะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน ทั้งนี้ เห็นว่าภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนเรื่องการคมนาคม ที่สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงการสร้างสนามบินเหมือนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ขึ้นบนเกาะกรูด หรือไม่หากรัฐไม่ลงทุนเองก็ควรเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ
นางพันธ์ทิพย์ สุรทิณฑ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้สั่งการให้กรมธนารักษ์จัดหาที่ราชพัสดุ เพื่อใช้เป็นตลาดขายสินค้าราคาประหยัดให้แก่ประชาชน ในลักษณะเช่นเดียวกันกับตลาด อ.ต.ก. โดยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวคิดที่จะเปิดตลาดทั้ง 4 มุมเมือง ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว 2 แห่ง คือที่ดินราชพัสดุบริเวณกรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่เป็นตลาดเก่า เนื้อที่ 21 ไร่ และที่ดินที่ จ.สมุทรปราการ เนื้อที่ 30 ไร่
“กรมธนารักษ์มีแนวคิดว่า จะให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เป็นผู้บริหารจัดการ โดยกรมธนารักษ์จะคิดค่าเช่าจากธพส. ส่วนจะคิดค่าเช่ากับผู้ค้าหรือไม่นั้นต้องแล้วแต่ระดับนโยบายเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตามหากภาครัฐเป็นคนดำเนินการเอง ราคาค่าเช่า เราก็สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว คงไม่แพง เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยประชาชน ค่าเช่าย่อมถูกกว่าตลาดของเอกชน”
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังได้ให้กรมธนารักษ์ใช้พื้นที่อาคารของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) บริเวณปากซอยราชครู มาจัดทำสถานที่ในลักษณะเอาท์เลต สำหรับให้ลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนำสินค้าที่ผลิตสินค้าขึ้นเอง หรือสินค้าโอทอป มาวางจำหน่ายอีกด้วย โดยที่ดินบริเวณดังกล่าวยังมีที่เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้เสนอว่า จะได้พัฒนาในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างอาคารสูงสำหรับใช้เป็นออฟฟิศให้ส่วนราชการหรือเอกชนเช่าอีกด้วย
ทั้งนี้ที่ดินและอาคารบริเวณดังกล่าวเดิมเป็นทรัพย์สินของ บบส. แต่เมื่อยุบ บบส. ไปควบรวมกิจการกับบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) แล้วจึงต้องส่งคืนให้แก่กรมธนารักษ์ภายในเดือน มิถุนายนนี้
นางพันธ์ทิพย์ กล่าวว่า ส่วนการขอคืนที่ราชพัสดุ 1 ล้านไร่จากส่วนราชการต่างๆ เพื่อนำมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตรในราคาถูกตามนโยบายรัฐบาลนั้นมั่นใจว่าจะขอคืนได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากเป็นการขอคืนที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และบางแห่งถูกบุกรุก จากทุกส่วนราชการ ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกับการขอคืนที่ราชพัสดุที่กรมธนารักษ์ดำเนินการอยู่เดิม ที่จะเน้นขอคืนจาก 3 กระทรวงหลักคือ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงกลาโหม
“อีก 2 เดือนข้างหน้านี้ กรมฯ จะเสนอให้ที่ประชุมครม.อนุมัติโครงการการพัฒนาที่ราชพัสดุในเชิงพาณิชย์ บริเวณ อ.ท่าฉัตรชัย จ.ภูเก็ต เพื่อสร้างเป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ จัดสร้างท่าเรืออินเตอร์ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีศักยภาพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เข้ามาเที่ยวมากขึ้น รวมถึงรองรับโครงการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) อีกด้วย”
นอกจากนั้น ยังมีโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบนเกาะกูด จ.ตราดที่จะเสนอแผนแม่บท (มาสเตอร์แพลน) ให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบด้วยเช่นกัน โดยกรมธนารักษ์มีแนวคิดนำที่ดินบนเกาะกูด 3 แปลงๆ ละ 50-60 ไร่ มาพัฒนาสร้างโรงแรมหรูและรีสอร์ทระดับบน(ไฮเอนด์) เน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับแนวทางการพัฒนานั้นจะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน ทั้งนี้ เห็นว่าภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนเรื่องการคมนาคม ที่สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงการสร้างสนามบินเหมือนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ขึ้นบนเกาะกรูด หรือไม่หากรัฐไม่ลงทุนเองก็ควรเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ
