บล.บัวหลวง พอใจเปิดขายหุ้นพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง วันแรก นักลงทุนให้การตอบรับดี เชื่อแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารรุ่ง สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน เตรียมเทรดวันแรก 27 พ.ค.นี้ ผู้บริหารเผยเตรียมล้างขาดทุนสะสมที่มี 500 ล้านบาท ด้วยการ นำส่วนล้ำมูลค่าหุ้น 305 ล้านบาท จากการขายหุ้นไอพีโอและกำไรจากการขายหุ้นบริษัทย่อย
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันแรก และจะเปิดขายถึงวันที่ 16 พ.ค.นี้ พบว่านักลงทุนให้การตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยมีกองทุน JAIC ประเทศญี่ปุ่นขอซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ส่งผลให้เป็นหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจโดยวัดจาก PE Ratio ของหุ้นกลุ่มอาหารซึ่งสูงถึง 18 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่หุ้นละ 3.10 บาท เท่ากับ PE Ratio 9.7 เท่าของกำไรปี 50 และ PE Ratio 8.1 เท่าของกำไรปี 51 โดยจะเริ่มเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก 27 พ.ค.นี้ ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ PM
" ปีนี้เป็นปีที่ทุกคนคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตด้วยการลงทุนของภาครัฐ เอกชนและการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น การที่ธุรกิจของพรีเมียร์ฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาหาร จึงคาดหมายว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหนุนให้พรีเมียร์ฯ เติบโตได้ตามเป้าหมาย " นายญาณศักดิ์ กล่าว
โดยบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงคาดว่า PM จะจ่ายขั้นต่ำ 15 สตางค์ในปี 52 จึงน่าจะดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ ขณะที่ผลงานไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 123.52 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะเป็นบวก 43.71 ล้านบาท และ 34.10 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเมื่อรวมกับทุนใหม่จากการทำ IPO จะทำให้มีส่วนของผู้ถือหุ้นเกินเกณฑ์ 300 ล้านบาทตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
นายญาณศักดิ์ กล่าวต่อว่าแม้บริษัทมีขาดทุนสะสมอยู่ 500 ล้านบาท แต่มีแผนล้างขาดทุนสะสมโดยการนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นประมาณ 305 ล้านบาท จากการขายหุ้นไอพีโอหุ้นละ 3.10 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาพาร์ที่ 1 บาท และกำไรจากการขายหุ้นของบริษัทย่อย จะทำให้บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้งล้างขาดทุนสะสมได้หมดในปี 51 และพร้อมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปี 52
"ยอดขาดทุนสะสมที่มีอยู่นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงินเมื่อปี 40 ถึงแม้บริษัทจะมีผลกำไรจากการดำเนินงานมาโดยต่อเนื่อง แต่ก็มีผลขาดทุนจากการลอยตัวของค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น และการตั้งสำรองหนี้เสีย ทำให้มียอดขาดทุนสะสมมาจนถึงปัจจุบัน แต่หลังขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะทำให้สถานะของพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้งแข็งแกร่งขึ้นและขยายธุรกิจได้มากขึ้น" นายญาณศักดิ์กล่าว
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันแรก และจะเปิดขายถึงวันที่ 16 พ.ค.นี้ พบว่านักลงทุนให้การตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยมีกองทุน JAIC ประเทศญี่ปุ่นขอซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ส่งผลให้เป็นหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจโดยวัดจาก PE Ratio ของหุ้นกลุ่มอาหารซึ่งสูงถึง 18 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่หุ้นละ 3.10 บาท เท่ากับ PE Ratio 9.7 เท่าของกำไรปี 50 และ PE Ratio 8.1 เท่าของกำไรปี 51 โดยจะเริ่มเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก 27 พ.ค.นี้ ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ PM
" ปีนี้เป็นปีที่ทุกคนคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตด้วยการลงทุนของภาครัฐ เอกชนและการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น การที่ธุรกิจของพรีเมียร์ฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาหาร จึงคาดหมายว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหนุนให้พรีเมียร์ฯ เติบโตได้ตามเป้าหมาย " นายญาณศักดิ์ กล่าว
โดยบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงคาดว่า PM จะจ่ายขั้นต่ำ 15 สตางค์ในปี 52 จึงน่าจะดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ ขณะที่ผลงานไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 123.52 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะเป็นบวก 43.71 ล้านบาท และ 34.10 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเมื่อรวมกับทุนใหม่จากการทำ IPO จะทำให้มีส่วนของผู้ถือหุ้นเกินเกณฑ์ 300 ล้านบาทตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
นายญาณศักดิ์ กล่าวต่อว่าแม้บริษัทมีขาดทุนสะสมอยู่ 500 ล้านบาท แต่มีแผนล้างขาดทุนสะสมโดยการนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นประมาณ 305 ล้านบาท จากการขายหุ้นไอพีโอหุ้นละ 3.10 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาพาร์ที่ 1 บาท และกำไรจากการขายหุ้นของบริษัทย่อย จะทำให้บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้งล้างขาดทุนสะสมได้หมดในปี 51 และพร้อมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปี 52
"ยอดขาดทุนสะสมที่มีอยู่นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงินเมื่อปี 40 ถึงแม้บริษัทจะมีผลกำไรจากการดำเนินงานมาโดยต่อเนื่อง แต่ก็มีผลขาดทุนจากการลอยตัวของค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น และการตั้งสำรองหนี้เสีย ทำให้มียอดขาดทุนสะสมมาจนถึงปัจจุบัน แต่หลังขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะทำให้สถานะของพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้งแข็งแกร่งขึ้นและขยายธุรกิจได้มากขึ้น" นายญาณศักดิ์กล่าว