xs
xsm
sm
md
lg

MFCแจงQ1กำไรทรุด51.63% เหตุทุ่มงบโฆษณาสร้างแบรนด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.เอ็มเอฟซี แจงงบการเงินรวมไตรมาส 1 หลังสอบทานแล้ว มีกำไรสุทธิ 8.89 ล้านบาท ลดลง 51.63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหตุทุ่มงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง หวังสร้างแบรนด์เป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนมากขึ้น อานิสงส์ดันรายได้ค่าธรรมเนีนมพุ่ง 35.75%

นายสุนทร พจน์ธนมาศ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 1 สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 8.89 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ 18.38 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น ในงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิลดลง ร้อยละ 51.63 สาเหตุหลักเนื่องจากบริษัทมีการขยายธุรกิจและเพิ่มการโฆษณาและประชาสัมพันธ์บริษัทผ่านสื่อต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น

โดยผลการดำเนินงานในส่วนของงบการเงินรวมของงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มี รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 108.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้ดังกล่าว 80.17 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยและเงินปันผลในปีนี้ อยู่ที่ 8.39 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.36% จาก 11.24 ล้านบาท ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรในบริษัทร่วมในไตรมาสแรกของปีนี้ ไม่มีเข้ามา ซึ่งต่างปีที่แล้วที่มีรายได้ดังกล่าว 5.38ล้านบาท

ในส่วนของค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายในไตรมาสแรกปี 2551 อยู่ที่ 8.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.72% จาก 5.23 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2550 และยังมีส่วนแบ่งขาดทุนในบริษัทร่วมอีก 8.26 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานอยู่ที่ 54.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 15.70% จากค่าใช้จ่ายในปี 2550 รวม 46.75 ล้านบาท

สำหรับค่าโฆษณาส่งเสริมการขายในไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทลดลง อยู่ที่ 9.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 301.73% จากค่าโฆษณาในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2.31 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ อยู่ที่ 16.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีก่อนที่ 14.66 ล้านบาท

ส่วนฐานะทางการเงิน (งบการเงินรวม) ของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,420.44 ล้านบาท ลดลงจากงวด 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 16.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 1.16 โดยสินทรัพย์รวมประกอบด้วยรายการหลักคือ เงินลงทุนระยะยาว จำนวน 885.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 62.34 เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จำนวน 295.72 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20.82 ของสินทรัพย์รวม

โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 81.94 ล้านบาท ลดลงจากงวด 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 26.36 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.34 สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 1,338.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 9.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.73 โดยเป็นผลจากการที่บริษัทสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น

สำหรับข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ (งบการเงินรวม) ณวันที่ 31 มี.ค. 2551 มีมูลค่าตามบัญชี 11.15 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากงวด 31 มี.ค. 2550 ซึ่งอยู่ที่ 11.07 บาทต่อหุ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 2.50% ลดลงจาก 5.36% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.66% ลดลงจาก 5.64% และอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมอยู่ที่ 7.54% ลดลงจาก 18.62% ในงวด31 มี.ค. 2550

ก่อนหน้านี้ นายพิชิตกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีทั้งภาครัฐบาลและบริษัทเอกชน รวมถึงสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสนใจซื้อหุ้นของบริษัทค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่เสนอซื้อในสัดส่วนที่สูงกว่า 50% ขึ้นไป ซึ่งสาเหตุที่นักลงทุนเหล่านี้ สนใจซื้อหุ้นถึง 50% เพราะส่วนหนึ่งมาจากเห็นศักยภาพในการทำกำไรของเรา และให้ความสำคัญกับธุรกิจอื่นนอกจากธุรกิจที่มีอยู่ ขณะเดียวกันในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเอง ก็อาจจะมีจุดประสงค์ในการเริ่มต้นทำธุรกิจในประเทศไทย เพื่อต่อยอดไปยังธุรกิจประเภทอื่นๆ

"ในปีนี้ บลจ.คาดการณ์จะตั้งกองทุนอีก 16 กองทุน โดยไตรมาสที่ 1 ได้ตั้งกองทุนไปจำนวน 6 กองทุนด้วยกัน ขณะเดียวกันบลจ.ยังมีการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อหารายได้ เเละการจัดกิจกรรมอื่นๆเพิ่มเติม ทำให้เราประเมินว่าผลการดำเนินไตรมาส 2/51 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะเมื่อต้นเดือนเมษายน บริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารออมสิน ตั้งกองทุนที่คล้ายกับวายุภักษ์ 1 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นจำนวนมาก"นายพิชิตกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น