"น้ำประปาไทย" เคาะราคาหุ้นไอพีโอ 4.20บาท ปรับเพิ่มสัดส่วนขายรายย่อยเพิ่มเป็น 400 ล้านหุ้นจากเดิม 350 ล้านหุ้น นักลงทุนสถาบันจองล้น 5 เท่า ขณะที่นักลงทุนนอกตลาดประกาศรับซื้อให้ราคาสูงกว่าราคาไอพีโอแล้ว 10-20 สตางค์ ด้านพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง กำหนดขายหุ้น 3.10 บาท ให้ส่วนลดนักลงทุน20-25% เปิดจอง 14-16พ.ค.นี้ เทรด 27 พ.ค.นี้ด้านบล.บัวหลวงเผย กองทุนญี่ปุ่นสนใจถือหุ้น 5% ผู้บริหาร ลั่น ล้างขาดทุนสะสม500ล้านบาทหมดปีนี้
นายสมโพธิ ศรีภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคาหุ้นละ 4.20 บาท จากช่วงราคาที่ 4-4.50 บาท ซึ่งผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายทั้ง 7 ราย จะต้องคืนเงินส่วนต่างหุ้นละ 0.30 บาท จากที่ชำระค่าจองซื้อในราคาหุ้นละ 4.50 บาทให้แก่ผู้จองซื้อภายใน 14 วันนับตั้งแต่วันนี้ (13 พฤษภาคม) เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนรายย่อยและผู้มีอุปการคุณเพิ่มเป็น 400 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 40% จากจากเดิม 350 ล้านหุ้น หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนสถาบันจากเดิม 650 ล้านหุ้น เหลือ 600 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 60%
สำหรับนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อหุ้นมากถึง 5 เท่าของจำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อสถาบัน ซึ่งสัดส่วนการเสนอขายนักลงทุนสถาบันในครั้งนี้เป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ 1 ใน 3 ของจำนวนหุ้นในสัดส่วนนักลงทุนสถาบันทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นสถาบันต่างประเทศ โดยบริษัทได้มีการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
อนึ่ง ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2551 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 3,290 ล้านบาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 3,290 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,290 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท และหลังจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนแล้วบริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 3,990 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,990 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท โดยบริษัทจะดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2551
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2548 จำนวน 2,229 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 3,227 ล้านบาท และ ปี 2550 จำนวน 3,250 ล้านบาท
***นอกตลาดวุ่นแห่ซื้อเกินไอพีโอ
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า นักลงทุนหลายรายผิดหวังที่ไม่สามารถจองซื้อหุ้น TTW ได้ เพราะมีผู้ให้ความสนใจที่จะจองซื้อเป็นจำนวนมาก และได้มีการประกาศซื้อใบจองหุ้นนอกตลาด รวมทั้งประกาศผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ จะรับซื้อหุ้นต่อจากผู้ที่ได้รับการจัดสรรทั้งหมด โดยให้กำไรในอัตราหุ้นละ 10-20 ส.ต. ทั้งที่ไม่ต้องเสียเงินเข้าไปจองซื้อแต่อย่างใด
"นักลงทุนที่รับซื้อหุ้น TTW ในราคาที่กว่าราคาจองที่ 4.20 บาท ถึงหุ้นละ 10-20 สต. ต่างมั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรต่อไป เพราะคาดการณ์ราคาเข้าซื้อขายจะสามารถไปได้ถึง 5-6 บาท หากภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นไม่เกิดปัจจัยลบมาเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ซื้อต่อไป จะมีโอกาสรับกำไรเพิ่มอีกกว่า 25%"
แหล่งข่าวกล่าว ต้องยอมรับว่าหุ้นดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ในระดับที่ดี จึงทำให้เกิดกระแสซื้อขายหุ้นนอกตลาดเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานอกจากบริษัทขนาดใหญ่ อย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจแล้ว นับว่าหายากมากที่จะเกิดกระแสขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะกระแสการซื้อขายหุ้นนอกตลาดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยไกับหุ้นไอพีโอทุกราย
นอกจากนี้ การที่บริษัทได้รับสัมปทานจากภาครัฐในลักษณะบีโอโอ นั่นหมายถึงหากหมดอายุสัมปทานแล้ว และไม่ได้รับการต่อสัญญา ภาครัฐจะต้องซื้อคืนโครงสร้างและระบบต่างที่บริษัทลงทุนไปคืนแก่บริษัท ดังนั้นจึงโอกาสที่บริษัทจะไม่ได้รับการต่อสัญญาในอนาคต นอกจากนี้กรณีมีคู่แข่งขันยิ่งไม่น่าเกิดขึ้น เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการทำระบบ หรืออาจกล่าวได้สัญญาแบบบีโอโอนี้ให้ผลดีแก่บริษัทมากกว่าธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อครบอายุสัญญาระบบและโครงสร้างต่างๆ ต้องมอบให้แก่รัฐไปฟรีๆ
***พรีเมียร์ฯเคาะไอพีโอ3.10บาท
นายสมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ PM เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) หุ้นละ 3.10 บาทต่อหุ้น เปิดให้จองซื้อหุ้น 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2551 และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีในการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท เนื่องจากบริษัทเป็นแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองและประสบความสำเร็จมาเป็นเวลานาน เช่น ปลาสวรรค์ทาโร ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักของบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 68% และปลาสวรรค์ทาโร่ยังคิดเป็น 60% ของยอดขายสินค้าอุปโภคทั้งหมดของ PM หรือคิดเป็น 35% ของยอดขายรวมของบริษัท
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปปรับโครงสร้างเงินทุน โดยส่วนหนึ่งจะนำไปชำระเงินกู้ของบริษัทและบริษัทย่อย ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 500 ล้านบาทนั้น บริษัทคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมดภายในปีนี้ และจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปี 2552 โดยจ่ายจากผลการดำเนินงานงวดปี 2551 ตามนโยบายที่กำหนดไว้จะจ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ด้านนายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น กล่าวว่า ราคาไอพีโอ PM ที่ 3.10 บาท มีค่า P/E 8 เท่า ซึ่งมีส่วนลด 25-30% จากค่า P/E กลุ่มอาหาร ที่ 11% จึงมั่นใจว่าหุ้น PM เข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 27 พ.ค. 2551 ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงกว่าราคาจองได้
ทั้งนี้ มีสถาบันในประเทศติดต่อเข้ามาเพื่อขอจองซื้อหุ้น ไอพีโอ ของ PM จำนวน 4 ราย และกองทุน JAIC ของญี่ปุ่นสนใจที่จะจองซื้อหุ้นไอพีโอของ PM จำนวน 5% ของจำนวนหุ้นไอพีโอทั้งหมด โดยเชื่อว่าการเข้ามาถือหุ้นของกองทุนจากญี่ปุ่นจะทำให้นักลงทุนทั่วไปมีความเชื่อมั่น ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายจะถือหุ้นในระยะยาว
นายสมโพธิ ศรีภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคาหุ้นละ 4.20 บาท จากช่วงราคาที่ 4-4.50 บาท ซึ่งผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายทั้ง 7 ราย จะต้องคืนเงินส่วนต่างหุ้นละ 0.30 บาท จากที่ชำระค่าจองซื้อในราคาหุ้นละ 4.50 บาทให้แก่ผู้จองซื้อภายใน 14 วันนับตั้งแต่วันนี้ (13 พฤษภาคม) เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนรายย่อยและผู้มีอุปการคุณเพิ่มเป็น 400 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 40% จากจากเดิม 350 ล้านหุ้น หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนสถาบันจากเดิม 650 ล้านหุ้น เหลือ 600 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 60%
สำหรับนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อหุ้นมากถึง 5 เท่าของจำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อสถาบัน ซึ่งสัดส่วนการเสนอขายนักลงทุนสถาบันในครั้งนี้เป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ 1 ใน 3 ของจำนวนหุ้นในสัดส่วนนักลงทุนสถาบันทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นสถาบันต่างประเทศ โดยบริษัทได้มีการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
อนึ่ง ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2551 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 3,290 ล้านบาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 3,290 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,290 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท และหลังจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนแล้วบริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 3,990 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,990 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท โดยบริษัทจะดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2551
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2548 จำนวน 2,229 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 3,227 ล้านบาท และ ปี 2550 จำนวน 3,250 ล้านบาท
***นอกตลาดวุ่นแห่ซื้อเกินไอพีโอ
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า นักลงทุนหลายรายผิดหวังที่ไม่สามารถจองซื้อหุ้น TTW ได้ เพราะมีผู้ให้ความสนใจที่จะจองซื้อเป็นจำนวนมาก และได้มีการประกาศซื้อใบจองหุ้นนอกตลาด รวมทั้งประกาศผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ จะรับซื้อหุ้นต่อจากผู้ที่ได้รับการจัดสรรทั้งหมด โดยให้กำไรในอัตราหุ้นละ 10-20 ส.ต. ทั้งที่ไม่ต้องเสียเงินเข้าไปจองซื้อแต่อย่างใด
"นักลงทุนที่รับซื้อหุ้น TTW ในราคาที่กว่าราคาจองที่ 4.20 บาท ถึงหุ้นละ 10-20 สต. ต่างมั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรต่อไป เพราะคาดการณ์ราคาเข้าซื้อขายจะสามารถไปได้ถึง 5-6 บาท หากภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นไม่เกิดปัจจัยลบมาเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ซื้อต่อไป จะมีโอกาสรับกำไรเพิ่มอีกกว่า 25%"
แหล่งข่าวกล่าว ต้องยอมรับว่าหุ้นดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ในระดับที่ดี จึงทำให้เกิดกระแสซื้อขายหุ้นนอกตลาดเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานอกจากบริษัทขนาดใหญ่ อย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจแล้ว นับว่าหายากมากที่จะเกิดกระแสขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะกระแสการซื้อขายหุ้นนอกตลาดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยไกับหุ้นไอพีโอทุกราย
นอกจากนี้ การที่บริษัทได้รับสัมปทานจากภาครัฐในลักษณะบีโอโอ นั่นหมายถึงหากหมดอายุสัมปทานแล้ว และไม่ได้รับการต่อสัญญา ภาครัฐจะต้องซื้อคืนโครงสร้างและระบบต่างที่บริษัทลงทุนไปคืนแก่บริษัท ดังนั้นจึงโอกาสที่บริษัทจะไม่ได้รับการต่อสัญญาในอนาคต นอกจากนี้กรณีมีคู่แข่งขันยิ่งไม่น่าเกิดขึ้น เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการทำระบบ หรืออาจกล่าวได้สัญญาแบบบีโอโอนี้ให้ผลดีแก่บริษัทมากกว่าธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อครบอายุสัญญาระบบและโครงสร้างต่างๆ ต้องมอบให้แก่รัฐไปฟรีๆ
***พรีเมียร์ฯเคาะไอพีโอ3.10บาท
นายสมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ PM เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) หุ้นละ 3.10 บาทต่อหุ้น เปิดให้จองซื้อหุ้น 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2551 และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีในการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท เนื่องจากบริษัทเป็นแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองและประสบความสำเร็จมาเป็นเวลานาน เช่น ปลาสวรรค์ทาโร ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักของบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 68% และปลาสวรรค์ทาโร่ยังคิดเป็น 60% ของยอดขายสินค้าอุปโภคทั้งหมดของ PM หรือคิดเป็น 35% ของยอดขายรวมของบริษัท
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปปรับโครงสร้างเงินทุน โดยส่วนหนึ่งจะนำไปชำระเงินกู้ของบริษัทและบริษัทย่อย ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 500 ล้านบาทนั้น บริษัทคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมดภายในปีนี้ และจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปี 2552 โดยจ่ายจากผลการดำเนินงานงวดปี 2551 ตามนโยบายที่กำหนดไว้จะจ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ด้านนายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น กล่าวว่า ราคาไอพีโอ PM ที่ 3.10 บาท มีค่า P/E 8 เท่า ซึ่งมีส่วนลด 25-30% จากค่า P/E กลุ่มอาหาร ที่ 11% จึงมั่นใจว่าหุ้น PM เข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 27 พ.ค. 2551 ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงกว่าราคาจองได้
ทั้งนี้ มีสถาบันในประเทศติดต่อเข้ามาเพื่อขอจองซื้อหุ้น ไอพีโอ ของ PM จำนวน 4 ราย และกองทุน JAIC ของญี่ปุ่นสนใจที่จะจองซื้อหุ้นไอพีโอของ PM จำนวน 5% ของจำนวนหุ้นไอพีโอทั้งหมด โดยเชื่อว่าการเข้ามาถือหุ้นของกองทุนจากญี่ปุ่นจะทำให้นักลงทุนทั่วไปมีความเชื่อมั่น ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายจะถือหุ้นในระยะยาว
