BECL ไตรมาสแรกปีนี้กำไรหด 10% ผลจากรายได้ค่าผ่านทางลดลง เนื่องจากการเปิดใช้ทางพิเศษบางพลี-สุขสวัสดิ์ โดยไม่เก็บค่าผ่านทางและสำรองค่าทดแทนการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างทางด่วนเพิ่ม
นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) แจ้งงบการเงิน ไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 340.21 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 378.36 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิลดลง 10.05%
รายได้ค่าผ่านทางของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 1 ปี 51 เท่ากับ 1,754 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 60 ล้านบาท จากผลกระทบของการเปิดใช้ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ (วงแหวนใต้) โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเงินสด รายการใหญ่ของบริษัทฯ ลดลงจากการชำระคืนเงินต้น และจากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงจากการออกหุ้นกู้ ทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 1 ปีก่อน 38 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากค่าตัดจำหน่ายสิทธิการใช้ประโยชน์ในงานก่อสร้างที่เสร็จแล้ว 533 ล้านบาท ลดลง 24 ล้านบาท คิดเป็น
4.31 % ตามการลดลงของปริมาณรถที่ใช้ทางด่วน สำรองค่าทดแทนการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างทางด่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งบัญชีสำรองดังกล่าว เป็นการบันทึกบัญชีเพื่อตัดต้นทุนของ มูลค่าปัจจุบันของค่าทดแทนที่จะต้องจ่ายให้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ส่วนการจ่ายชำระจริงได้เริ่มชำระงวดแรกตามสัญญาในปี 47 โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 1 มีนาคมและวันที่ 1 กันยายนของทุกปี สำหรับปี 51 นี้ บริษัทฯ จ่ายชำระให้การทางพิเศษฯ แล้ว 350 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่ม ดอกเบี้ยจ่ายลดลง
โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาสนี้ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 740 ล้านบาท ซึ่งใช้ไปในกิจกรรมลงทุน 172 ล้านบาท ประกอบด้วยการลงทุนในเงินลงทุนชั่วคราว 139 ล้านบาท ลงทุนในบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) 22 ล้านบาท ให้เงินกู้ยืมแก่ SEAN เพื่อใช้ในการเข้าสำรวจและพัฒนาโครงการ 8 ล้านบาท และลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสุทธิ 3 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเงินสดสุทธิใช้ไป 569 ล้านบาท จากการจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว 662 ล้านบาท และเงินสดรับสุทธิจากการออกตั๋วแลกเงิน 93 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 51 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเงินสดจ่ายสุทธิ 1 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินสดยกมาต้นปี 100 ล้านบาท คงเหลือเป็นเงินสด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 51 เท่ากับ 99 ล้านบาท
นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) แจ้งงบการเงิน ไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 340.21 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 378.36 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิลดลง 10.05%
รายได้ค่าผ่านทางของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 1 ปี 51 เท่ากับ 1,754 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 60 ล้านบาท จากผลกระทบของการเปิดใช้ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ (วงแหวนใต้) โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเงินสด รายการใหญ่ของบริษัทฯ ลดลงจากการชำระคืนเงินต้น และจากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงจากการออกหุ้นกู้ ทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 1 ปีก่อน 38 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากค่าตัดจำหน่ายสิทธิการใช้ประโยชน์ในงานก่อสร้างที่เสร็จแล้ว 533 ล้านบาท ลดลง 24 ล้านบาท คิดเป็น
4.31 % ตามการลดลงของปริมาณรถที่ใช้ทางด่วน สำรองค่าทดแทนการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างทางด่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งบัญชีสำรองดังกล่าว เป็นการบันทึกบัญชีเพื่อตัดต้นทุนของ มูลค่าปัจจุบันของค่าทดแทนที่จะต้องจ่ายให้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ส่วนการจ่ายชำระจริงได้เริ่มชำระงวดแรกตามสัญญาในปี 47 โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 1 มีนาคมและวันที่ 1 กันยายนของทุกปี สำหรับปี 51 นี้ บริษัทฯ จ่ายชำระให้การทางพิเศษฯ แล้ว 350 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่ม ดอกเบี้ยจ่ายลดลง
โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาสนี้ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 740 ล้านบาท ซึ่งใช้ไปในกิจกรรมลงทุน 172 ล้านบาท ประกอบด้วยการลงทุนในเงินลงทุนชั่วคราว 139 ล้านบาท ลงทุนในบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) 22 ล้านบาท ให้เงินกู้ยืมแก่ SEAN เพื่อใช้ในการเข้าสำรวจและพัฒนาโครงการ 8 ล้านบาท และลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสุทธิ 3 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเงินสดสุทธิใช้ไป 569 ล้านบาท จากการจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว 662 ล้านบาท และเงินสดรับสุทธิจากการออกตั๋วแลกเงิน 93 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 51 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเงินสดจ่ายสุทธิ 1 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินสดยกมาต้นปี 100 ล้านบาท คงเหลือเป็นเงินสด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 51 เท่ากับ 99 ล้านบาท