KEST ไตรมาสแรกปีนี้กำไรพุ่ง 154.44 % ผลจากรายได้เพิ่มทุกสายธุรกิจ โดยเฉพาะค่านายหน้าเพิ่มสูง จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าตอบแทนพนักงานเจ้าหน้าที่การตลาด ตามปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST) ชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 (งบเดี่ยว) ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 166.70 ล้านบาทเพิ่มขึ้น101.18 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 154.44 เมื่อ เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 65.52 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 211.18 ล้านบาท เป็น 457.99 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย และปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 23.75 ล้านบาทเป็น 34.27 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก473 สัญญา เป็น 1,669 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ และรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 9.84 ล้านบาท เป็น 20.62ล้านบาท เนื่องมาจากความต้องการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 97.84 ล้านบาท เป็น 337.78 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายหลัก ที่เพิ่มขึ้นได้แก่ค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้น 9.28 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น 82.32 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 32.82 ล้านบาท เป็น 54.02 ล้านบาท เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ
นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST) ชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 (งบเดี่ยว) ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 166.70 ล้านบาทเพิ่มขึ้น101.18 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 154.44 เมื่อ เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 65.52 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 211.18 ล้านบาท เป็น 457.99 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย และปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 23.75 ล้านบาทเป็น 34.27 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก473 สัญญา เป็น 1,669 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ และรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 9.84 ล้านบาท เป็น 20.62ล้านบาท เนื่องมาจากความต้องการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 97.84 ล้านบาท เป็น 337.78 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายหลัก ที่เพิ่มขึ้นได้แก่ค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้น 9.28 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น 82.32 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 32.82 ล้านบาท เป็น 54.02 ล้านบาท เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ