ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติ "เอสโซ่" เข้าซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.เป็นต้นไป ระบุมาร์เกตแคปรวมกว่า 3.4 หมื่นล้าน และเพิ่มมาร์เกตแคปให้ตลาดหุ้นไทย 0.5% ขณะที่กลุ่มเอไอเอ ติดโผผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติรับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนและซื้อขายในกลุ่มทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขาย "ESSO" ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ (มาร์เกตแคป) ณ ราคาไอพีโอประมาณ 34,000 ล้านบาท และเพิ่มมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกประมาณ 0.5% รวมทั้งทำให้มาร์เกตแคปกลุ่มทรัพยากรเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5%
สำหรับ ESSO ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบครบวงจร (Integrated) รวมทั้งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และเคมีภัณฑ์อื่นๆ ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 16,693 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,383.33 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 4.9338 บาท โดยเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันรวมทั้งสิ้น 930.42 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยระดับราคาหุ้นไอพีโอ ESSO ที่หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 4.8 เท่า และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทและการพิจารณาแผนลงทุนตามความจำเป็น ซึ่งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1 บาท
จากข้อมูลสรุปข้อสนเทศตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก ของบมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) หลังจากเสนอขายไอพีโอ ประกอบด้วย อันดับ1 กลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทในเครือของเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น จำนวน 2,199.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 65% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ลดลงจากก่อนขายไอพีโอที่มี 2,283.75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 87.50% อันดับ 2 Morgan Stanley & Co. International PLC ในฐานะผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchaser) รับซื้อ 456,749,900 หุ้น หรือประมาณ 13.5% ของทุนชำระแล้ว เพื่อที่จะไปจำหน่ายแก่นักลงทุนต่างประเทศ
อันดับ 3 กระทรวงการคลัง 253.75 ล้านหุ้น หรือ 7.50 % ลดลงจากก่อนขายไอพีโอ 326.25 ล้านหุ้น หรือ 12.50% อันดับ 4 อยุธยา อลิอันซ์ ซี. พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 15.5 ล้านหุ้น หรือ 0.46% จากก่อนหน้าไม่ได้ถือหุ้น อันดับ 5. American International Assurance Company Limited - AIA D-PLUS จำนวน 13.63 ล้านหุ้น หรือ 0.40% อันดับ6. American International Assurance Company Limited - APEX ถือหุ้น 8.18 ล้านหุ้น หรือ 0.24%
อันดับ 7. American International Assurance Company Limited - Tiger ถือ 8.18 ล้านหุ้น หรือ 0.24% อันดับ 8. บัวหลวง หุ้นระยะยาว ถือ 3.35 ล้านหุ้น หรือ 0.10 % อันดับ 9. นายสุชน สิมะกุลธร ถือหุ้น 2.77 ล้านหุ้น หรือ 0.08% และอันดับ 10 .ธนาคารออมสิน ถือหุ้น 2.66 ล้านหุ้น หรือ 0.08%
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติรับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนและซื้อขายในกลุ่มทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขาย "ESSO" ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ (มาร์เกตแคป) ณ ราคาไอพีโอประมาณ 34,000 ล้านบาท และเพิ่มมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกประมาณ 0.5% รวมทั้งทำให้มาร์เกตแคปกลุ่มทรัพยากรเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5%
สำหรับ ESSO ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบครบวงจร (Integrated) รวมทั้งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และเคมีภัณฑ์อื่นๆ ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 16,693 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,383.33 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 4.9338 บาท โดยเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันรวมทั้งสิ้น 930.42 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยระดับราคาหุ้นไอพีโอ ESSO ที่หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 4.8 เท่า และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทและการพิจารณาแผนลงทุนตามความจำเป็น ซึ่งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1 บาท
จากข้อมูลสรุปข้อสนเทศตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก ของบมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) หลังจากเสนอขายไอพีโอ ประกอบด้วย อันดับ1 กลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทในเครือของเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น จำนวน 2,199.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 65% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ลดลงจากก่อนขายไอพีโอที่มี 2,283.75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 87.50% อันดับ 2 Morgan Stanley & Co. International PLC ในฐานะผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchaser) รับซื้อ 456,749,900 หุ้น หรือประมาณ 13.5% ของทุนชำระแล้ว เพื่อที่จะไปจำหน่ายแก่นักลงทุนต่างประเทศ
อันดับ 3 กระทรวงการคลัง 253.75 ล้านหุ้น หรือ 7.50 % ลดลงจากก่อนขายไอพีโอ 326.25 ล้านหุ้น หรือ 12.50% อันดับ 4 อยุธยา อลิอันซ์ ซี. พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 15.5 ล้านหุ้น หรือ 0.46% จากก่อนหน้าไม่ได้ถือหุ้น อันดับ 5. American International Assurance Company Limited - AIA D-PLUS จำนวน 13.63 ล้านหุ้น หรือ 0.40% อันดับ6. American International Assurance Company Limited - APEX ถือหุ้น 8.18 ล้านหุ้น หรือ 0.24%
อันดับ 7. American International Assurance Company Limited - Tiger ถือ 8.18 ล้านหุ้น หรือ 0.24% อันดับ 8. บัวหลวง หุ้นระยะยาว ถือ 3.35 ล้านหุ้น หรือ 0.10 % อันดับ 9. นายสุชน สิมะกุลธร ถือหุ้น 2.77 ล้านหุ้น หรือ 0.08% และอันดับ 10 .ธนาคารออมสิน ถือหุ้น 2.66 ล้านหุ้น หรือ 0.08%
