ตลาดหุ้นไทย รับอานิสงส์เฟดหั่นดอกเบี้ย บล.ทิสโก้ มั่นใจเฟดลดอีก 2 ครั้ง ส่งผลอยู่ระดับต่ำสุดที่ 1.75 ในไตรมาส 2/51 "วิศิษฐ์" คาดเดือนหน้าจะมีเม็ดเงินย้ายจากตลาดตราสารหนี้เข้าตลาดทุนสูงถึง 3 หมื่นล้าน ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 เม.ย.) ดัชนีผันผวนตลอดทั้งวันโดย โดยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 840.02 จุด ต่ำสุด 829.21 จุด ก่อนจะปิดที่ 833.63 จุด ลดลง 2.79จุด หรือคิดเป็น 0.33% มูลค่าการซื้อขาย 17,305.79 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6.06 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 291.45 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 297.50 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับผลดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30 เมษายนนี้ 0.25% และครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายนอีก 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2/51 อยู่ที่ 1.75%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลดีจากเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยบริษัทคาดว่าจะมีมีเม็ดเงินลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) ไทยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวน 15,000 -30,000 ล้านบาท จากการลงทุนหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งจะเริ่มเห็นสัญญาณการย้ายเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/51จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 900-920 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการย้ายเงินทุนเข้าตลาดหุ้น กำไรบริษัทจดทะเบียนคาดคาดการณ์จะโตอยู่ในระดับ 30.4% ปัจจัยการเมืองที่ยังไม่ทวีความรุนแรงในช่วงไตรมาส 2 รวมถึงจีดีพีที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 5.2%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากเฟดลดดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มดีจากการการลงทุนและการบริโภคที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์คงเป้าบริษัทจดทะเบียนใหม่ในปีนี้ไว้ที่ 37 แห่ง และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 22,000 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 17,000 ล้านบาท
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และกรรมการบริหารกองทุนโทรคมนาคม กทช. กล่าวว่า นับจากนี้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวเป็นเวลานาน จากความขัดแย้งทางการเมือง รวมทั้งแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้สินค้าภายในประเทศแพงขึ้น และกระทบอัตราเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 2/2551 จะมากกว่า 6% ซึ่ง ทำให้รัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยมาตรการการคลัง เช่น การลดภาษี การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เป็นธรรม และปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอีก 5-10% เพื่อไม่ให้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า จีดีพีไตรมาสแรกน่าจะอยู่ที่ 6% ดีกว่าไตรมาส 4/50 ที่ 5.2% เนื่องจากการบริโภคในไตรมาสนี้เริ่มฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจของไทยที่ต้องเร่งแก้ไขคือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง จากราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวน เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมจะประกาศใช้เกณฑ์การกำกับดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายหมุนเวียนสูง (turnover list) ซึ่งอยู่ในรายชื่อของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประมาณกลางปีนี้ ทำให้หุ้นเก็งกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้ถูกขายออกมา
ขณะเดียวกันยังมีสัญญาบ่งชี้ถึงความไม่มีเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล หลังพรรคชาติไทยและพรรคเผื่อแผ่นดินอาจไม่เอาด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังปะชาชน ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจากปัจจัยทางการเมือง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่ายังคงผันผวนในกรอบแคบๆ รอผลการประชุมของเฟดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะทราบผลในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 820-830 จุด และกรอบแนวต้านที่ 836-838 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 เม.ย.) ดัชนีผันผวนตลอดทั้งวันโดย โดยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 840.02 จุด ต่ำสุด 829.21 จุด ก่อนจะปิดที่ 833.63 จุด ลดลง 2.79จุด หรือคิดเป็น 0.33% มูลค่าการซื้อขาย 17,305.79 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6.06 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 291.45 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 297.50 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับผลดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30 เมษายนนี้ 0.25% และครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายนอีก 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2/51 อยู่ที่ 1.75%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลดีจากเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยบริษัทคาดว่าจะมีมีเม็ดเงินลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) ไทยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวน 15,000 -30,000 ล้านบาท จากการลงทุนหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งจะเริ่มเห็นสัญญาณการย้ายเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/51จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 900-920 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการย้ายเงินทุนเข้าตลาดหุ้น กำไรบริษัทจดทะเบียนคาดคาดการณ์จะโตอยู่ในระดับ 30.4% ปัจจัยการเมืองที่ยังไม่ทวีความรุนแรงในช่วงไตรมาส 2 รวมถึงจีดีพีที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 5.2%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากเฟดลดดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มดีจากการการลงทุนและการบริโภคที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์คงเป้าบริษัทจดทะเบียนใหม่ในปีนี้ไว้ที่ 37 แห่ง และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 22,000 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 17,000 ล้านบาท
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และกรรมการบริหารกองทุนโทรคมนาคม กทช. กล่าวว่า นับจากนี้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวเป็นเวลานาน จากความขัดแย้งทางการเมือง รวมทั้งแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้สินค้าภายในประเทศแพงขึ้น และกระทบอัตราเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 2/2551 จะมากกว่า 6% ซึ่ง ทำให้รัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยมาตรการการคลัง เช่น การลดภาษี การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เป็นธรรม และปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอีก 5-10% เพื่อไม่ให้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า จีดีพีไตรมาสแรกน่าจะอยู่ที่ 6% ดีกว่าไตรมาส 4/50 ที่ 5.2% เนื่องจากการบริโภคในไตรมาสนี้เริ่มฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจของไทยที่ต้องเร่งแก้ไขคือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง จากราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวน เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมจะประกาศใช้เกณฑ์การกำกับดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายหมุนเวียนสูง (turnover list) ซึ่งอยู่ในรายชื่อของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประมาณกลางปีนี้ ทำให้หุ้นเก็งกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้ถูกขายออกมา
ขณะเดียวกันยังมีสัญญาบ่งชี้ถึงความไม่มีเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล หลังพรรคชาติไทยและพรรคเผื่อแผ่นดินอาจไม่เอาด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังปะชาชน ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจากปัจจัยทางการเมือง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่ายังคงผันผวนในกรอบแคบๆ รอผลการประชุมของเฟดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะทราบผลในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 820-830 จุด และกรอบแนวต้านที่ 836-838 จุด