อีกไม่นานพระราชบัญญัติ (พรบ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณให้บรรดาผู้ฝากเงินทั้งหลาย โดยเฉพาะรายใหญ่ต้องเริ่มหาทางหนีที่ไล่โยกย้ายเงินฝากไปลงทุนในการลงทุนประเภทอื่นมากขึ้น ก่อนที่เงินฝากในธนาคารของตัวเองจะเหลือวงเงินค้ำประกันเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทุกฝ่ายมองตรงกันว่าส่วนที่น่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ อุตสาหกรรมกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนรวมตลาดเงิน หรือ มันนี่มาร์เก็ต ที่มีลักษณะการลงทุนที่มีความใกล้เคียงกับการฝากเงินเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่า กองทุนประเภทนี้น่าจะเป็นแหล่งแรกที่นักลงทุนจะกระโดดเข้ามาแทนธนาคารพาณิชย์
ความหมายของกองทุนรวมตลาดเงินนั้นอาจจะสรุปนิยามอย่างสั้นๆ ได้ว่า คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและมีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถามหรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งกองทุนรวมประเภทนี้มีนโยบายการลงทุนที่คล้ายคลึงกับกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำสุด จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นของผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยง โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และกองทุนที่มีนโยบายแบ่งลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ซึ่งความแตกต่างระหว่าง 2 ประเภท คือความเสี่ยง โดยถ้าเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินคลังเพียงอย่างเดียว ก็จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่ากองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชน แต่โดยรวมแล้วการลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เก็ตนั้นยังมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ดัชนีผันแปรตามปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
บางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าการลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เก็ตนั้น ผลตอบแทนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ยและท่ามกลางความคาดหมายว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้รับลดดอกเบี้ยเฟดฟันส์เรสมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ยังควรลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เก็ตอยู่อีกหรือไม่?
ปัจจุบันกองทุนมันนี่มาร์เกตส่วนใหญ่สามารถให้ผลตอบแทนในระดับประมาณ 2.5-4.0% ตามแต่ความเสี่ยง ซึ่งนับว่าสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ โดยกองทุนมันนี่มาร์เก็ตที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นนั้น ผลตอบแทนจะเคลื่อนไหวไปในทิศเดียวกับดอกเบี้ย แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่ผันผวนจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะทดถอย ส่วนผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ยังคงผันผวนจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางของหลายประเทศ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้การลงทุนในรูปแบบอื่นๆ รวมไปถึงการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะเกิดความผันผวนตามปัจจัยภายนอกไปด้วย เพราะสำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารระยะกลางและระยะยาวนั้น เมื่อมีปัจจัยต่างๆเข้ามากระทบจะส่งผลต่อผลตอบแทนค่อนข้างมากทำให้เมื่อคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนตามราคาตลาดแล้วจะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ส่งผลให้นักลงทุนที่ไม่เข้าใจในธรรมชาติของกองทุนประเภทนี้เกิดความกังวล ขณะที่กองทุนมันนี่มาร์เก็ตนั้นจะมีความผันผวนน้อยกว่าอย่างชัดเจนเพราะเป็นการลงทุนระยะสั้น
ขณะเดียวกันนอกจากการลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เก็ตจะเป็นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแล้ว กองทุนยังมีศักยภาพที่ดีในการเป็นแหล่งพักเงินลงทุนอีกด้วย ผู้คว่ำหวอดในวงการกองทุนได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ตอนนี้นักลงทุนไทยเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนมันนี่มาร์เก็ตเพิ่มมากขึ้น แต่ยังเห็นการใช้กองทุนมันนี่มาร์เก็ตเพื่อวัตถุประสงค์เป็นแหล่งพักเงินอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น แม้การลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เก็ตจะมีสภาพคล่องที่ใกล้เคียงการฝากเงินแต่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเป็นรายใหญ่ ซึ่งต้องมีการคำนวณถึงผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างรอบคอบ
ทั้งนี้ เป็นที่แน่นอนว่า รายใหญ่ที่มีจำนวนเงินลงทุนมากจะมีการคำนึงถึงผลตอบแทนที่มากกว่า เพราะความแตกต่างของผลตอบแทน 1% ระหว่างคนที่ฝากเงิน 100 ล้านบาท กับ 100,000 บาท มันไม่เท่ากัน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นรายใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับในอดีตตอนนี้นักลงทุนก็ให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นและเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้นักลงทุนไทยเริ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพิ่มมากขึ้นจากในอดีต แต่ยังมีอีกหลายคนที่พอพูดถึงกองทุนรวมแล้วจะมองว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและไม่อยากเข้ามาลงทุน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนมันนี่มาร์เก็ตนั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำมาก โดยเฉพาะกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งความเสี่ยงแทบจะไม่มีความแตกต่างกับการฝากเงิน แต่กลับสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าได้
ขณะเดียวกัน ปัญหาอีกอย่างนอกจากที่นักลงทุนจะมองการลงทุนในกองทุนรวมเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงแล้ว คือ ความขี้เกียจ เพราะแม้ว่าจะเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วการลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกตจะสามารถให้ผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน แต่ถ้ายอดเงินลงทุนไม่มาก ความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนที่เป็นจำนวนเงินระหว่างการลงทุนในกองทุนรวมกับการฝากเงินก็จะมีจำนวนไม่สูง ประกอบกับปัจจุบันการซื้อขายหน่วยลงทุนยังคงมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่าการฝากเงินในธนาคาร
ด้านพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการลงทุนในมันนี่มาร์เก็ตเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเเละให้ผลตอบเเทนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์แต่ไม่มีต้องเสียภาษีเหมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย
"อยากให้ผู้ที่กำลังเลือกลงทุนในตราสารหนี้เลือกกองทุนที่มีสภาพคล่อง คือ ทั้งเบิกเเละถอนรวมถึงซื้อในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้เหมือนกับการฝากเงินไว้ที่ธนาคาร หรือถ้าเป็นกองที่เข้าไปลงทุนต่างประเทศก็ต้องดูความเสี่ยงที่เกี่ยวกับอัตราเเลกเปลี่ยนด้วย" พิชิต กล่าวแนะนำ
ขณะที่รายงานข่าวจาก LIPPER ระบุว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 กองทุนรวมตลาดเงินที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีสูงที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร 1 ปี รุ่นที่ 12 ของบลจ.ทหารไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 1.24% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 1.24% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 1.87% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3.83% อันดับ 2 กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 25/07 ของบลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 1.20% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 1.20%
อันดับ 3 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 12/12 ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 1.19% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 1.19% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 1.90% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3.89% อันดับ 4 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 1/12 ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 1.17% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 1.17% , ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 1.97% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 4.13% และอันดับ 5 กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 26/07 ของบลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 1.16% และให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 1.16%