xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มหุ้น"SET50"เด่น ราคาต่ำกว่าเป้าหมายโบรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดโผหุ้น SET50 ยังมีส่วนต่างให้ทำกำไรได้ หลังจากพบราคาบนกระดาน ณ สิ้นไตรมาสแรกต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ มีเพียง 3 บริษัท "LH-KSL-BECL" ที่มีส่วนต่างติดลบ ขณะที่ "CCET-TTA-TPIPL" มีโอกาสทำกำไรได้อีกมาก มีส่วนต่างสูงกว่า 40% ด้านโบรกเกอร์แนะลงทุนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

ผู้จัดการฯ ได้ทำการสำรวจราคาหลักทรัพย์ใน SET 50 ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างราคาเป้าหมาย หรือราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายๆ แห่ง กับราคาปิดบนกระดานหลักทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ปรากฏว่า ราคาปิดส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจเข้าไปลงทุน เพราะมีโอกาสและความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนได้

สำหรับราคาเป้าหมายเฉลี่ยในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ อาทิ บล.แอ๊ดคินซัน, บล.เอเซีย พลัส, บล.บีฟิท, บล.พัฒนสิน, บล.เคจีไอ(ประเทศไทย), บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย),บล.นครหลวงไทย, บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) และบล.โกลเบล็ก ฯลฯ

โดยหลักทรัพย์ที่มีราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 51 สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ราคาเป้าหมาย 9.35 บาท ราคาปิด 9.75 บาท ส่วนต่างติดลบ 0.40 บาท หรือคิดเป็น 4.10% บมจ.น้ำตาลขอนแก่น หรือ KSL ราคาเป้าหมาย 12.91 บาท ราคาปิด 13.40 บาท ติดลบ 0.49 บาท หรือ 3.66% และบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL ราคาเป้าหมาย 27.51 บาท ราคาปิด 28.50 บาท ติดลบ 0.99 บาท หรือ 3.47% (ตารางประกอบข่าว)

ขณะที่หลักทรัพย์ที่ราคาเป้าหมายยังสูงกว่าราคาปิด สูงสุด 3 อันดับแรก บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET ราคาเป้าหมาย 7.66 บาท ราคาปิด 5.25 บาท ยังมีส่วนต่าง 2.41 บาท หรือ 45.90% บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ราคาเป้าหมาย 61.46 บาท ราคาปิด 42.50 บาท หรือ 45.79% และบมจ.ทีพีไอ โพลีน จำกัด หรือ TPIPL ราคาเป้าหมาย 9.36 บาท ราคาปิด 6.60 บาท ส่วนต่าง 2.79 บาท หรือ 42.27%

ส่วนหลักทรัพย์อื่นๆ ใน SET50 ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีนั้น ราคาปิดล่าสุดน่าสนใจเข้าไปลงทุนหรือต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ โดย บมจ.บ้านปู หรือ BANPU ยังมีส่วนต่างอยู่ 18.95% ราคาเป้าหมาย 494.82 บาท สูงกว่าราคาปิดที่ 416.00 บาท ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 78.82 บาท บมจ. ปตท. หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 439.80 บาท ราคาปิด 316.00 บาท ส่วนต่าง 123.80 บาท หรือ 39.18% เช่นเดียวกับบริษัทในกลุ่มทั้ง PTTEP และPTTCH ที่ยังมีส่วนต่างสูงถึง 28.84 บาท และ 35.32 บาทตามลำดับ

ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นหาราคาเป้าหมายได้อีก ได้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY, บมจ.ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL, บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB และบมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ที่ยังมีส่วนต่างอยู่ 24.72%, 10.04%, SCIB 10.35% และ 12.98% ตามลำดับ

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หุ้นบมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ยังน่าลงทุน โดยคาดว่าไตรมาส 1/51 ผลการดำเนินงานจะขยายตัวในทิศทางที่ดี และมีโอกาสการทำกำไรจากราคาหุ้นค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นปัจจุบันที่ 37.75 บาท เทียบกับราคาพื้นฐานหรือราคาเป้าหมาย ขณะเดียวกัน PTTAR จะได้รับผลประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2 ของทุกปี รวมถึงประโยชน์จากการควบรวมในปี 52 หลังโรงงาน ATC 2 เปิดดำเนินงานประมาณไตรมาส 3/51

ส่วนบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ยังมีโอกาสทำกำไรได้ดี จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดีในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เพราะจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ (Driving Season) ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่พื้นฐานบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2551 จากการขยายกำลังการผลิตจากธุรกิจที่มีอยู่ (โรงกลั่นจาก 225 KBD เป็น 275 KBD และปิโตรเคมีจาก 4.2 แสนตันต่อปี เป็น 9 แสนตันต่อปี)

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ประเมินหลักทรัพย์รายตัวดังนี้ CCET มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แนะนำให้ซื้อลงทุนในระยะกลาง เพราตามวงจรธุรกิจเทคโนโลยีที่จะต่ำสุดในไตรมาส 1 ก่อนจะเริ่มขยับขึ้นในไตรมาส 2 และดีที่สุดในไตรมาส 3 ขณะที่หุ้น TTA เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากในปีหน้าธุรกิจจะมีการแข่งขันที่รุนแรงจากจำนวนกองเรือเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าในปีนี้กำไรของบริษัทจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ส่วนหุ้น TPIPL หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น แม้จะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่ยังมีความเสี่ยงจากคดีความค่าปรับ 6.9 พันล้านบาท ที่ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ หุ้น TOP สามารถลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาวได้ พื้นฐานดี คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังการผลิต หุ้น PTTAR เหมาะกับการลงทุนระยะยาว ซึ่งคาดว่าโรงงานใหม่จะแล้วเสร็จช่วงปลายปี และจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างชัดเจนในปีหน้า จึงไม่เหมาะลงทุนในระยะสั้น

หุ้นบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS และ LH เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดอัตราภาษี ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาราคาปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ซึ่งในระยะสั้นจะต้องติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 อย่างใกล้ชิด และจากราคาที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง ทำให้ในระยะสั้นมีโอกาสที่ราคาจะมีการปรับฐาน จึงแนะนำขายทำกำไร แล้วค่อยไปเก็บเพื่อลงทุนในระยะกลาง และระยะยาว

ส่วนหุ้น KSL เหมาะกับการลงทุนระยะกลางและระยะยาว บริษัทมีการขยายงาน มีโอกาสทำกำไรอยู่ แต่หุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่อง และหุ้นบมจ.ไทยพาณิชย์ (SCBX กลุ่มแบงก์ปีนี้จะกลับมาโดดเด่น จากการฟื้นตัวของการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการไม่ต้องตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่เหมือนปีที่ผ่านมา และแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง เหมาะกับการลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาว
กำลังโหลดความคิดเห็น