xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นโปรเจกต์รถไฟฟ้า 7 สายแท้ง! หวั่นปัญหาการเมืองรุมเร้ารัฐฯ ชิงยุบสภา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความฝันของคนกรุงเทพฯ ที่จะได้ใช้โครงข่ายระบบขนส่งรถไฟฟ้าแบบครบโครงข่ายเข้าใกล้ความเป็นจริงทุกที เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน เมื่อวันที่ 12 มี.ค.51 ซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการ และ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะรองประธาน มีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 เส้นทาง ในวงเงินลงทุนกว่า 7.7 แสนล้านบาท

“โครงการรถไฟฟ้ามิใช่ความฝันของชาวกรุงเทพฯ แต่ยังเป็นความฝันของผู้ประกอบการทุกๆธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหวังว่าโครงการเมกะโปรเจตก์ขนาดใหญ่โครงการนี้จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวและเปิดทำเลการลงทุนใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอการอสังหาฯ แถมยังเป็นการ การเพิ่มเม็ดเงินในระบบและกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้อีกในทางหนึ่ง”

นายอธิป พีชานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าของรัฐบาลจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการแนวราบในย่านชานเมื่อที่มีการชะลอตัวมากว่า1 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาประสบการณ์เป็นเครื่องย้ำเตือน ให้ผู้ประกอบการระมัดระวังในการลงทุนซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการ เพื่อรอการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้ของภาครัฐฯ โดยเฉพาะสายสีม่วงที่มีการล้มการประมูลไปในครั้งก่อน

“การประกาศแผนการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ทำให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟปรับตัวสูงขึ้นมาก และทำให้นักเก็งกำไรที่ดินที่ซื้อที่ดินในแนวรถไฟสายสีม่วงเจ็บตัวไปมากเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มนักเก็งกำไรที่กู้เงินจากสถาบันการเงินมาซื้อที่ดิน สำหรับผู้ประกอบการแล้ว มีการระมัดระวังตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และก็หวังให้มีการลงทุนอย่างจริงจัง แต่ที่ผ่านมาความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้ของรัฐบาลก็ดีมาโดยตลอด แต่ต้องจับตาดูปัญหาในช่วงไตรมาส 2-3ก่อน หากผ่านพ้นไปได้ ความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโครงการดังกล่าวน่าจะมีสูง”นายอธิปกล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชนตั้งเป้าว่า การก่อสร้างโครงการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี ได้แก่ โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายเพื่อเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของรถไฟฟ้าบีทีเอส 3 เส้นทาง คือ ส่วนต่อขยายจากสถานีหมอชิตผ่านอนุสรณ์สถานดอนเมืองไปคลอง 4 อำเภอลำลูกกา ระยะทาง 30 กม. ส่วนต่อขยายจากซอยแบริ่ง สำโรง ผ่านไปยัง อ.ปากน้ำ และ อ.ปางปู จ.สมุทรปราการ ระยะทาง 17 กม. และ ส่วนต่อขยายจากเชิงสะพานตากสิน ไปบางหว้า อ.อ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร ระยะทาง21.7 กิโลเมตร (กม.)

โดยตามแผนเดิม จะเริ่มก่อสร้างโครงการเร่งด่วน 4 โครงการ จากทั้งหมด 7 เส้นทาง มีระยะเวลารวมระยะทาง 93 กม. ประกอบด้วย สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง23 กม. ซึ่งจะเปิดประมูลแบบปลายเดือน มี.ค.51 สายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-ลำลูกกา (คลอง4) ระยะทาง 30 กม. ประกวดราคาในเดือนมิ.ย.- ก.ค. 51 สายสีเขียวอ่อนช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ-บางปู ระยะทาง 13 กม. คาดว่าสามารถประกวดราคาได้เดือนมิ.ย.-ก.ค.51 และ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 27 กม. คาดว่าประกวดราคาได้ในปลาย เม.ย.51

สำหรับวงเงินลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนรวม 7.7 แสนล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในปี 51 จำนวน 2.59 แสนล้านบาท ซึ่งล่าสุดรมว.คลังได้เซ็นสัญญากู้ยืมเงินธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (เจบิก)วงเงิน 62,442ล้านเยน เมื่อวันที่26 มี.ค. 2551ที่ผ่านมา ในอัตราดอกเบี้ย1.4% เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมอบให้กระทรวงมหาดไทยไปเจรจากับกรุงเทพฯ เพื่อขอซื้อหุ้นโครงการรถไฟฟ้าสายบีทีเอส ของบริษัทธนายง จำกัด (มหาชน) และโอนสัมปทานไปที่กระทรวงมหาดไทยมาเป็นของรัฐ โดยจะเจรจากับเจ้าหนี้ของบริษัทขอซื้อหุ้น บีทีเอส ที่เจ้าหนี้ถืออยู่ 89% มูลค่า 50,000 ล้านบาท แล้วให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เข้าไปบริหารจัดการ ซึ่งล่าสุดผลการเจรจาซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้ดังกล่าวใกล้ได้ข้อสรุปแล้วคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ ความฝันที่ชาวกทม. ที่จะได้ใช้โครงข่ายระบบขนรถไฟฟ้านั้นต้องล้มครืนมาหลายครั้งหลายคราเปรียบเสมือนฝันค้างหรือฝันที่ยังไม่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง นั้นเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาและแม้ว่าครั้งนี้ฝันนั้นจะเหมือนจริงมากที่สุดเพราะมีการดำเนินการขั้นตอนต่างๆไปมากแล้ว แต่ปัจจัยลบที่จะต้องจับตาดูกันอีกครั้งก็คือปัญหาด้านการเมืองที่หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็จะทำให้อาจจะมีการชะลอการพัฒนาโครงการนี้ออกไป ซึ่งก็จะทำให้ชาวกทม.กลับมาฝันแล้วตื่นกลางคัน ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบว่า มันเป็นความฝันเดิมๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

แต่หากรัฐบาลชุด"นอมินี"ยังประคับประครองการบริหารประเทศต่อไปได้ ก็มีทีท่าว่าโครงการนี้จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จริง เพราะแน่นอน โครงการนี้เป็นอีกมาตรการหนึ่ง ที่จะเข้ามาช่วยปลุกเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมานักวิชาการ ข้าราชการ และผู้เกี่ยวข้องต่างออกมาให้ความเห็นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนก่อสร้างโครงการดังกล่าว ไม่ว่าการกระตุ้นให้เร่งก่อสร้างให้เร็วขึ้น เพราะยิ่งรอเวลาความพร้อม ต้นทุนในการก่อสร้างต่างๆ จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น แต่ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้รับความใยดี เพราะดูเหมือนว่า โครงการนี้จะเป็นโครงการทางการเมืองมากกว่าการพัฒนาเพื่อประโยชน์ประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น