xs
xsm
sm
md
lg

เอเอซีพีกังวลวิกฤติซับไพรม์ ปรับพอร์ตลดน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ต่างชาติประเมินการลงทุนตลาดหุ้นไทยยังไม่สดใสปัจจัยลบหลายประการรุมเร้า “เอเอซีพี” ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นลงเหลือ 7% ของพอร์ตลงทุนรวม 8 หมื่นล้านบาทหลังวิเคราะห์ภาวะตลาดปีนี้ยังคงผันผวนต่อเนื่อง ชี้กลุ่มแบงก์ยังมีความน่าสนใจ 2 เดือนแรกของปีให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 10% ขณะที่กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มไปได้สวย พร้อมลดการถือหุ้นกลุ่มพลังงานลงหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนหนัก

นายนิเคล ศรีนิวาสัน รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุน บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) AACP เปิดเผยว่า เอเอซีพีประมินภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยยังมีปัจจัยลบจากภายนอกที่ส่งผลหระทบอยู่หลายประการได้แก่ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ญี่ปุ่นและจีดีพีของจีนที่มีแนวโมลดลง โดยเฉพาะปัญหาวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์หรือ ซับไพรม์ ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

นอกจากนี้การปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคที่ค่อนข้างมีความผันผวนก็ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยเช่นกัน ในขณะที่นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออกมาในทิศทางที่เป็นบวกมากเกินไปสวนทางการแนวโน้มการประกอบธุรกิจที่อยู่ในช่วงถดถอย ซึ่งจากปัจจัยทั้งหลายดังกล่าวจึงทำให้เอเอซีพีต้องทบทวนพอร์ตการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยใหม่

“ในช่วงปลายปีที่แล้วเอเอซีพีมีพอร์ตลงทุนในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 8 หมื่นล้านบาทและเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 8.8% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด แต่จากปัจจัยลบที่มีอยู่ค่อนข้างมากและฝ่ายการลงทุนของเอเอซีพีได้ทบทวนเป้าหมายการลงทุนใหม่จึงได้ปรับลดวงเงินลงทุนลงจากเดิมเหลืออยู่ประมาณ 7% ของพอร์ตลงทุนก่อนพิจารณาปรับพอร์ตใหม่อีกครั้งเมื่อมีความชัดเจนด้านต่างๆ เกิดขึ้น” นายนิเคลกล่าว

***หุ้นผันผวนลงรายกลุ่มให้ผลตอบแทนดี

นายนิเคลกล่าวว่า สำหรับการประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีที่ผ่านมาที่เอเอซีพีประเมินไว้ที่ 1,000 จุด แต่ตลาดในปีที่แล้วมีความผันผวนมากดัชนีตลาดหลักทรัพย์สามารถขึ้นไปเพียง 920 จุดเท่านั้นซึ่งถือว่าปรับตัวดีพอสมควรในภาวะที่ตลาดผันผวนในระดับนั้น ดังนั้นในปีนี้ฝ่ายการลงทุนของบริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตการลงทุนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่ผันผวนในปัจจุบัน

โดยในปีนี้บริษัทไม่สามารถคาดการว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวไปถึงระดับไหนเนื่องจากมีปัจจัยกระทบมากจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเอเอซีพีจะหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในแต่ละภาคอุตสาหกรรมแทนที่จะมองภาพรวมของตลาดทั้งหมด ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เอเอซีพีประเมินว่าน่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

“ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนถึง 10% แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์จะมีความผันผวนอย่างหนักจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศเราจึงให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ ส่วนกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มเติบโตที่ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่กลุ่มที่เราลดน้ำหนักการลงทุนลงคือกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนค่อนข้างสูง” นายนิเคลกล่าว

***เชื่อ SCIB-TMB พื้นฐานยังดี

นายนิเคลกล่าวว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยในปัจจุบันเอเอซีพีลงทุนในหุ้นธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ซึ่งเอเอซีพีมองว่าการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF) อยู่ระหว่าการขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB และธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) BT นั้นเอเอซีพีก็ให้ความสนใจที่จะลงทุนแต่ต้องรอให้กระบวนการต่างๆ ออกมาเป็นที่ชัดเจนเสียก่อนจึงจะตัดสินใจลงทุน

ทั้งนี้เอเอซีพีได้ลงทุนในหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยอยู่แล้วจำนวนหนึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนค่อนข้างดี นอกจากนี้พื้นฐานของหุ้นธนาคารนครหลวงไทยค่อนข้างดีผลการดำเนินการก็เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งหากกองทุนฟื้นฟูฯ จะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นธนาคารนครหลวงไทยลงก็ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อผู้ถือหุ้นรายอื่นด้วย

“นอกจากหุ้นธนาคารนครหลวงไทยแล้วเรายังถือหุ้นของธนาคารทหารไทยอยู่ซึ่งเราก็ประเมินว่าจะไปได้ไกลกว่านี้หากผู้ถือหุ้นรายใหม่ของธนาคารทหารไทยคือกลุ่มไอเอ็นจี เนเธอร์แลนด์ กำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของธนาคารออกมาชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ในปัจจุบันที่ราคายังไม่มีการขยับไปไหนนั้นคาดว่านักลงทุนต่างรอความชัดเจนในการดำเนินงานที่กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่จะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้” นายนิเคลกล่าว

***พร้อมเพิ่มพอร์ตลงทุนอสังหาริมทรัพย์

นายนิเคลกล่าวว่า นอกจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์แล้วเอเอซีพีเองยังสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในปัจจุบันเอเอซีพีลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อยู่ประมาณ 3% ของพอร์ตลงทุนและอยู่ระหว่างยื่นของขยายพอร์ตลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

“การที่รัฐบาลไทยยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศ 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะดึงเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและกระตุ้นให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับความสนใจจากต่างชาติมากขึ้น ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยในปัจจุบันเอเอซีพีได้ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุยและคาดว่าจะมีการขยายการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆ ต่อไป” นายนิเคลกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น