วันศุกร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นเทศกาล Easter เพื่อระลึกถึงวันที่ พระเยซูคริสต์ ทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ โดยทรงสละชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขน เพื่อเราทุกคนจะได้รับการไถ่บาปความเชื่อในพระองค์ และฤทธิ์พระโลหิตของพระองค์ดูจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะจะนำไปสู่ความเชื่อว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีคุณค่าเพื่อกันและกัน
โลกมีสันติสุขได้เมื่อมนุษย์ "รักกัน" คิดถึงกันและกัน เห็นแก่ตัวน้อยลงเชื่อในฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ ทำให้เกรงกลัวต่อการทำบาป ทำให้ยินดีเสมอที่ได้ทำความดีงามตามน้ำพระทัยพระองค์ในวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้น อัครทูตเปโตร ซึ่งเคยเป็นคนเก่ง คนกล้า ก็กลัวภัยอย่างยิ่ง เมื่อมีผู้ทักทายว่าเขาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เขาปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้ง
แต่ต่อมา เขากลับกล้ารับใช้พระเจ้าอย่างเข้มแข็ง ประกาศข่าวประเสริฐมากมาย อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ? หากพระองค์ไม่ได้ทรงฟื้นพระชนม์ ผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ไปแล้วด้วยความกลัว จะเกิดความกล้าหาญเต็มที่ขึ้นมากได้อย่างไร จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตขนาดนั้นได้อย่างไร ? ก็เป็นเพราะเขาได้ทราบว่า ในวันที่ 3 พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย เป็นข่าวประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ และเป็นความหวังสำหรับเราทุกคน** เราแต่ละคนไม่ใช่ใช้ชีวิตในโลกไปวันๆ รอวันจบสิ้นอย่างไร้คุณค่าความหมาย แต่เรามีความหวังที่จะได้รับความรอด และมีชีวิตนิรันดร์ได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงฟื้นขึ้นมาก่อน**
เรายังได้เห็นตัวอย่างพี่น้องคนหนึ่ง เป็นคนขี้เมา วันๆ หาเงินเพียงเพื่อดื่มเหล้า (ดูท่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของ "จน เครียด กินเหล้า" ) เป็นนิสัยที่ทำมาอย่างต่อเนื่องนับสิบ ๆ ปี จนเพื่อนบ้านก็พูดกันตรง ๆ ว่าเอือมระอาต่อพฤติกรรมอย่างมาก แล้วพี่สาวของภรรยาก็ชวนให้มารู้จักพระเจ้า วันแรกที่เข้าประชุมสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียน ก็ยังเมาเข้าไปต่อมาไปโบสถ์ก็ยังไม่ยอมรับเสียทีเดียว แต่หลายคนก็มีโอกาสช่วยเขา อธิษฐานเผื่อเขา คืนนั้น เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาซื้อเบียร์ไปมากมาย อยากจะกินให้ตายไปเลย แล้วเขาก็เมาหลับไป รุ่งขึ้น เขาเปลี่ยนไป รู้สึกว่าเหล้าเบียร์นั้นเหม็นมาก ไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไป เพื่อนบ้านก็ยังชมว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงกลับตัวกลับใจครั้งยิ่งใหญ่ที่น่ายกย่อง ครอบครัวก็กลับมามีสันติสุขดีต่อมา
ความเชื่อในความอัศจรรย์ของการฟื้นพระชนม์ สะท้อนว่า มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องบน บางครั้งในชีวิตที่เราสงสัยว่าชีวิตนี้ไม่เป็นธรรม ก็เป็นเพราะมันยังไม่ถึงตอนจบ ที่จะมีการพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม **สิ่งสำคัญต่อเมืองไทยในขณะนี้ หลังจากที่เราผ่านความเจ็บปวดจากความแตกแยก ความขัดแย้ง การขาดจริยธรรม คุณธรรม ความชอบธรรม ผมคิดว่าหากเราเรียนรู้บทเรียนชีวิตที่ผ่านมา เราจะพบว่า เราต้องเดินในทางสว่าง สังคมจึงจะมีสันติสุขแท้เราก็มีพัฒนาการต่างๆ ดีขึ้น**
โดยกระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ การเลือกตั้งครั้งปี 2006 มีปัญหาก็โมฆะไป พรรคการเมืองมีหลักฐานว่าปลอมแปลงการเลือกตั้งก็ถูกยุบพรรคไป ประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญก็ได้เดินหน้าไป และเราก็มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนเรียบร้อยผลการเลือกตั้งก็ผ่านไปเรียบร้อย เราก็มีรัฐบาลที่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง หากประชาชนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ทั้งที่ผลออกมาตามนั้น ก็ไม่เหมาะ หากประชาชนไม่ยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลทั้งที่ผลเป็นเช่นนั้นก็ลำบาก เพราะเราจะขาดหลัก "นิติธรรม" ในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งเราก็เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ก็นับว่าทุกฝ่ายถูกต้องชอบธรรม เป็นนิมิตที่ดีของประเทศ
**หลัก "นิติธรรม" เป็นหลักสำคัญที่ต้องดำรงอยู่ตลอดไป เมื่อขั้นต่อไป จะเป็นกระบวนการยุติธรรม ในเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องพรรคเป็นโนมินีหรือไม่ เรื่องซุกหุ้น เรื่องปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เรื่องทุจริตต่างๆ ก็ขอให้เป็นไปตาม หลักฐาน และเหตุผลในการวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
** ผลการตัดสินคดีซึ่งยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม มิได้ไปแทรกแซงหรือขวางกั้นการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลฉันใด คะแนนเสียง จำนวน ส.ส. หรือ อำนาจรัฐ ก็มิควรไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน ผลการพิพากษา จึงควรเป็นไปตามหลักการพิจารณาคดี ไม่ใช่เป็นไปตามกระแส คะแนนนิยม หรือ อำนาจรัฐ เพราะนั่นก็คือ หลัก "นิติธรรม" ที่เป็นสิ่งสำคัญนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
สุดยอดปรารถนาของผมคือ **คนไทยรักกัน และรักความสว่าง เกรงกลัวบาป ในกระบวนการเลือกตั้ง และการปกครอง ก็ขอให้เป็นไปตามกติกา และ กระบวนการยุติธรรม ก็เป็นไปตามหลักฐานและเหตุผล ไม่ใส่ร้ายกัน และไม่ทำเรื่องผิดให้เป็นถูก **เช่นกัน เพื่อให้บ้านเมืองเป็น "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" คือเมื่อแผ่นดินใดเป็นธรรม แผ่นดินนั้นก็เป็นทองครับ
มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)