“วันวาเลนไทน์” (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ทว่านับุญผู้นี้กลับต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,734 ปีในยุคจักรวรรดิโรมัน
ประวัติความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ กำเนิดตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 เมื่อ “วาเลนตินัส”ผู้นำคริสต์ศาสนิกชน ที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ในแต่ละวันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็นไปวางไว้ประตูหน้าบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ซึ่งในสมัยนั้น ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิโรมัน และถือว่าใครที่นับถือศาสนาคริสต์จะมีความผิดร้ายแรงมาก พวกคริสตนชนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่ยอมเลิกนับถือจะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง “วาเลนตินัส” ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกขู่เข็ญและทรมานบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาไม่ยอมจึงถูกจับเข้าคุกในข้อหาเป็นคริสตชน
ในขณะที่วาเลนตินัสถูกจับขังคุกนั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมในนั้นและด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขาพระเจ้าได้ทรงโปรดรักษาตาของคนรักของเขาให้หายเป็นปกติ จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ผู้คุมและครอบครัวของเขาหันมานับเชื่อพระเจ้าของชาวคริสต์
ต่อมาเรื่องนี้รู้ถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก ได้สั่งให้ลงโทษวาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ
ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น วาเลนตินัส ได้เขียนจดหมายสั้นๆ เป็นการอำลาส่งไปให้เพื่อนหญิงคนรักของเขา และลงท้ายในจดหมายว่า “จากวาเลนไทน์ของเธอ”
รุ่งขึ้นของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา
คนทั่วประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “วันวาเลนไทน์” ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentine’s Day หรือ Valentine ‘s Day หรือ “วันแห่งความรัก” ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชีย และประเทศไทยด้วย
*ทำไมวันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบ ?*
กุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล จึงทำให้ความสวยงามของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งแทนความงาม,ความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารัก ความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี
ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก และความอมตะ จนมีตำนานกล่าวขานกันต่างๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก
ตำนานเล่าว่า “คลอรีส” เทพธิดาแห่งดอกไม้ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลายเป็นกุหลาบและยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีการมอบดอกกุหลาบแก่ “อีรอส” ลูกชาย ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก
ส่วนในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่พระเยซูถูกตรึงไว้ไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และได้ยังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า “กุหลาบมอสส์”
นอกจากนี้ ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบ และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอกกุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า “สงครามกุหลาบ” ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 และในสมัยต่อมา พวกกุหลาบแดงได้มาแต่งงานกับพวกกุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของชาวอังกฤษไป ถ้าทุกคนมีความรักให้แก่กันแล้วโลกจะสงบสุขแน่นอน
*รูปร่างและสีสันของดอกกุหลาบ…แปลความหมายได้ดังนี้*
ดอกกุหลาบนั้นทั้งลักษณะและสีสันของมันสามารถสื่อความหมายถึงคนที่เรามอบให้ได้ว่าอย่างไรที่เราทุกคนเรียกมันว่า “ภาษาดอกไม้”
ของขวัญอื่น ๆ ในวันวาเลนไทน์
*ประเพณีวันวาเลนไทน์ในแต่ละประเทศในเอเชีย*
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์หรือ วันวาเลนไทน์ สาวๆ จะเป็นคนให้ ช็อกโกเลต รูปหัวใจที่ตัวเองทำเองแก่หนุ่มๆ ที่หมายปองอยู่ หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนคือวันที่ 14 มีนาคมหนุ่มๆ ก็จะมอบดอกกุหลาบ เพื่อเป็นการขอบคุณสาวผู้ให้
สำหรับประเพณีเกาหลี วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หนุ่มจะเป็นคนให้ช็อกโกเลต รูปหัวใจให้สาวที่ตัวเองรัก ....หลังจากนั้น 14 มีนาคม หากสาวรักหนุ่มคนนั้น เธอก็จะส่ง ช็อกโกแลต ขาวเพื่อสื่อรัก กับหนุ่มคนนั้น
แม้รัฐบาลในประเทศตะวันออกกลางหรือประเทศอื่น ๆ ที่เคร่งครัดศาสนาอิสลามจะออกมาแบนเทศกาลวันวาเลนไทน์ก็ตาม ทว่า อิทธิพลของวันแห่งความรักก็ยังแทรกซึมเข้ามายังชีวิตพลเมือง สังเกตได้จากร้านค้าต่าง ๆ จะนำของขัวญที่แสนจะโรแมนติกมาวางจำหน่าย