สสส.เตือน ส่งความรักวาเลนไทน์ อย่างมีสติ ชี้ “ช็อกโกแลต กินจริง อ้วนจริง ใช้สแตนอินไม่ได้” เผย คนไทยควักตังค์ซื้อช็อกโกแลตปีละ 2 พัน 5 ร้อยล้านบาท เตือนกินช็อกโกแลต 1 ชิ้น เหมือนกินปาท่องโก๋อมน้ำมัน 2 คู่
นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เทศกาลวาเลนไทน์เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ นิยมมอบของขวัญให้แก่กัน ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า คนไทยนิยมให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญแทนใจ รองลงมาจากดอกกุหลาบ โดยคาดว่าผู้ที่จะให้ช็อกโกแลตแก่กันในวันวาเลนไทน์ จะใช้เงินซื้อช็อกโกแลตราว 320 บาทต่อคน ขณะที่ตลาดตะวันตกก็หันมาขยายตลาดช็อกโกแลตในไทยมากยิ่งขึ้น เฉพาะปี 2548 ไทยนำเข้าช็อกโกแลตและขนมหวานจากออสเตรเลียเพิ่มขึ้นถึง 22% โดยมูลค่าการตลาดช็อกโกแลตในไทยมีประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปี
ผจก.แผนงานโภชนาการเชิงรุก กล่าวอีกว่า ช็อกโกแลตเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ แต่มีเพียงเล็กน้อย เพราะพลังงานที่ได้รับ คือ แคลอรี่ ซึ่งเป็นพลังงานสูญเปล่า ช็อกโกแลต 1 อัน ขนาด 50 กรัม จะมีแคลอรี่สูงถึง 260 แคลอรี่ หรือเทียบเท่ากับการทานปาท่องโก๋ชุ่มน้ำมัน 2 คู่ และช็อกโกแลต 50 กรัม ยังมีกาเฟอีนเท่ากับเมล็ดกาแฟบดแล้วถึงครึ่งถ้วย ไม่ใช่กาแฟแบบน้ำ จึงเป็นเรื่องปกติที่ทานช็อกโกแลตก่อนนอน จะทำให้นอนไม่หลับ อีกทั้งความหวานจากน้ำตาลในช็อกโกแลต จะเปลี่ยนเป็นความอ้วนด้วย
“มีความเชื่อว่า ช็อกโกแลตจะช่วยเพิ่มสารเซโรโทนิล และ เอนโดฟิน ที่เป็นสารความสุขให้เพิ่มขึ้นในสมอง ร่างกายจึงเกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือเรียกว่าอาการเคลิ้มช็อกโกแลต ซึ่งช็อกโกแลตสามารถทานได้ แต่ต้องทานอย่างมีสติ เพราะถ้าเผลอเมื่อไร อาจอ้วนได้ทันที ความสุขจาการทานจะกลายเป็นความทุกได้ อีกทั้งอาจติดการทานช็อกโกแลตจนเป็นนิสัย ซึ่งกรณีของเด็กๆ พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะดูแล อีกทั้งควรล้างปาก หรือแปรงฟันหลังการทานด้วย” นายสง่า กล่าว
