ฟันด์แมเนเจอร์ชี้ ตลาดหุ้นเวียดนามเนื้อหอม หลังดัชนีรูดจากต้นปีกว่า 36% พร้อมมองเศรษฐกิจโดยรวมของญวนมีแนวโน้มเติบโตสูง คาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีนี้โต 20% ด้านกูรูจับตาอนาคตเวียดนามพัฒนาเทียบชั้นจีน ประเมินมาร์เก็ตแคปขยับขึ้นเป็น 4-5 หมื่นล้านเหรียญในอีก 1-2 ปีข้างหน้า "เอวายเอฟ" เสือปืนไว ตั้งกองทุน "อยุธยา อาเซียน เวียดนาม โฟกัส" จับจังหวะช้อนซื้อหุ้นราคาถูก ไอพีโอ 18 -31 มีนาคมนี้
นายประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่าช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนได้ปรับตัวตามภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นของเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นของประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นของเวียดนามปรับตัวลดลงมาประมาณ 36% และเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดเมื่อช่วงกลางปี 2550 จะคิดเป็นการลดลงของดัชนีประมาณ 50% ซึ่งประเมินว่าระดับการลดลงดังกล่าวนั้นเป็นการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามจะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก แต่แนวโน้มในอนาคตเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเวียดนามกลับมีศักยภาพที่จะสามารถเติบโตในระดับสูง และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศเวียดนาม เนื่องมาจากผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับผลดีตามเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นไปด้วย ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นของเวียดนามน่าลงทุนเป็นอย่างมาก
"คาดการณ์กันว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เป็นระดับที่มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเซียนซึ่งประมาณการณ์ว่าผลประกอบการน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับประมาณ 10% ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นของเวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมาก" นายประภาสกล่าว
ด้าน Mr. Reginald Tan Director - Investments and Head of Research Credit Agricole Asset Management เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามในขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนในอดีต ทำให้มีแนวโน้มว่าในอนาคตประเทศเวียดนามจะพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับประเทศจีน สำหรับตลาดหุ้นของเวียดนามนั้น แม้ปัจจุบันจะมีขนาดไม่ใหญ่ โดยมีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่ขนาดของตลาดจะมีการเติบโตขึ้นเป็น 4-5 หมื่นล้านเหรียญซึ่งเป็นผลมาจากเข้าจดทะเบียนเพิ่มของบริษัทต่างๆ
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กองทุน CAAM Funds ASEAN New Markets ได้มีการกระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเซียน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศที่มีตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 6 ประเทศ แต่ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight ในประเทศเวียดนาม โดยลงทุนในสัดส่วน 15% ขณะที่สัดส่วนการลงทุนของ MSCI South East Asia ไม่ได้คำนวนการลงทุนในเวียดนามด้วย, ในประเทศอินโดนีเซีย ลงทุนในสัดส่วน 20% จาก MSCI South East Asia ที่คำนวนในสัดส่วน 17% และประเทศไทยลงทุนในสัดส่วน 20% จาก MSCI South East Asia ที่คำนวนในสัดส่วน 15% ส่วนประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียนั้น ขณะนี้กองทุนได้ลงทุนในลักษณะ Underweight รวมไปถึงกองทุนยังไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศฟิลิปปินส์ด้วย
**AYFส่งกองทุนช้อนซื้อหุ้นเวียดนาม**
นายประภาสกล่าวว่า บริษัทได้เห็นถึงโอกาสการลงทุนดังกล่าว และได้มีการออกกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียน ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศเวียดนาม ชื่อกองทุนเปิดอยุธยา อาเซียน เวียดนาม โฟกัส (AYF ASEAN Vietnam Focus Fund: AYFAVN) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทกองทุนหน่วยลงทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในระหว่างวันที่ 18 -31 มีนาคม 2551
สำหรับกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนในการถือครองหน่วยลงทุนในระยะยาว โดยจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มี ชื่อว่า CAAM Funds ASEAN New Markets โดยมี Credit AgricoleAsset Management Hong Kong Limited (CAAM) เป็นผู้จัดการกองทุน
ทั้งนี้ กองทุน CAAM Funds ASEAN New Markets มีเป้าหมายเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่ไปลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในบริษัทในกลุ่มประเทศอาเซียน และมุ่งเน้นความสนใจพิเศษในประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเวียดนามด้วย รวมถึงกองทุนจะลงทุนในตราสารทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของทรัพย์สินของกองทุนของบริษัทที่ตั้งอยู่และมีสัดส่วนทางธุรกิจที่มีความสำคัญในประเทศอาเซียน และกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนตามตราสารทุน (Equity-linked notes) ในกรณีที่การลงทุนทางตรงมีข้อจำกัดของมูลค่าที่จะลงทุนในหลักทรัพย์นั้นๆ ได้
รายงานข่าวจากข้อมูล ณ วันที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 กองทุนมีผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 20.22% จากเกณฑ์มาตรฐานดัชนี MSCI South East Asia ซึ่งไม่ได้มีการคำนวนประเทศเวียดนามด้วยที่ให้ผลตอบแทน 22.44%
"ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงนี้ ทำให้กองทุนอยุธยา อาเซียน เวียดนาม โฟกัส มีความน่าสนใจลงทุนเป็นอย่างมาก แต่ทางบลจ.ไม่ได้ตั้งเป้าหมายจากการระดมทุนมากนัก เพราะคาดว่านักลงทุนบางส่วนน่าจะยังคงชะลอการลงทุนจากภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นอยู่ โดยตั้งเป้าว่ากองทุนนี้น่าจะสามารถระดมทุนในช่วงไอพีโอเพียง 200 ล้านบาท จากมูลค่ากองทุน 1,500 ล้านบาทเท่านั้น " นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวถึงแผนงานการออกกองทุนในปีนี้ว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีการออกกองทุนใหม่ทั้งกองทุนเปิดและกองทุนปิดรวมกันประมาณ 20 กองทุน โดยในส่วนของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ซึ่งเป็นกองทุนเปิดนั้น บริษัทมีแผนที่จะออกทั้งสิ้น 4 กองทุน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมารวมกับกองทุนที่จะมีการเปิดขายนี้ บลจ.อยุธยาได้มีการออกไปแล้วจำนวน 2 กองทุน
ขณะเดียวกัน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนเอฟไอเอฟ ที่ลงทุนในหุ้นจำนวน 1 กองทุน ลงทุนในตราสารหนี้จำนวน 1 กองทุน และลงทุนในสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ (คอมูดิตี้) จำนวน 1 กองทุน ซึ่งตั้งเป้าว่าปีนี้สินทรัพย์ภาพใต้การบริการจัดการ (AUM) ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากปลายปี 2550 ซึ่งบริษัทมีเอยูเอ็มประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
นายประภาส ตันพิบูลศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่าช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนได้ปรับตัวตามภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นของเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นของประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นของเวียดนามปรับตัวลดลงมาประมาณ 36% และเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดเมื่อช่วงกลางปี 2550 จะคิดเป็นการลดลงของดัชนีประมาณ 50% ซึ่งประเมินว่าระดับการลดลงดังกล่าวนั้นเป็นการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามจะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก แต่แนวโน้มในอนาคตเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเวียดนามกลับมีศักยภาพที่จะสามารถเติบโตในระดับสูง และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศเวียดนาม เนื่องมาจากผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับผลดีตามเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นไปด้วย ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นของเวียดนามน่าลงทุนเป็นอย่างมาก
"คาดการณ์กันว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เป็นระดับที่มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเซียนซึ่งประมาณการณ์ว่าผลประกอบการน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับประมาณ 10% ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นของเวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมาก" นายประภาสกล่าว
ด้าน Mr. Reginald Tan Director - Investments and Head of Research Credit Agricole Asset Management เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามในขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนในอดีต ทำให้มีแนวโน้มว่าในอนาคตประเทศเวียดนามจะพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับประเทศจีน สำหรับตลาดหุ้นของเวียดนามนั้น แม้ปัจจุบันจะมีขนาดไม่ใหญ่ โดยมีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่ขนาดของตลาดจะมีการเติบโตขึ้นเป็น 4-5 หมื่นล้านเหรียญซึ่งเป็นผลมาจากเข้าจดทะเบียนเพิ่มของบริษัทต่างๆ
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กองทุน CAAM Funds ASEAN New Markets ได้มีการกระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเซียน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศที่มีตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 6 ประเทศ แต่ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight ในประเทศเวียดนาม โดยลงทุนในสัดส่วน 15% ขณะที่สัดส่วนการลงทุนของ MSCI South East Asia ไม่ได้คำนวนการลงทุนในเวียดนามด้วย, ในประเทศอินโดนีเซีย ลงทุนในสัดส่วน 20% จาก MSCI South East Asia ที่คำนวนในสัดส่วน 17% และประเทศไทยลงทุนในสัดส่วน 20% จาก MSCI South East Asia ที่คำนวนในสัดส่วน 15% ส่วนประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียนั้น ขณะนี้กองทุนได้ลงทุนในลักษณะ Underweight รวมไปถึงกองทุนยังไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศฟิลิปปินส์ด้วย
**AYFส่งกองทุนช้อนซื้อหุ้นเวียดนาม**
นายประภาสกล่าวว่า บริษัทได้เห็นถึงโอกาสการลงทุนดังกล่าว และได้มีการออกกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียน ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศเวียดนาม ชื่อกองทุนเปิดอยุธยา อาเซียน เวียดนาม โฟกัส (AYF ASEAN Vietnam Focus Fund: AYFAVN) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทกองทุนหน่วยลงทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในระหว่างวันที่ 18 -31 มีนาคม 2551
สำหรับกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนในการถือครองหน่วยลงทุนในระยะยาว โดยจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มี ชื่อว่า CAAM Funds ASEAN New Markets โดยมี Credit AgricoleAsset Management Hong Kong Limited (CAAM) เป็นผู้จัดการกองทุน
ทั้งนี้ กองทุน CAAM Funds ASEAN New Markets มีเป้าหมายเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่ไปลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในบริษัทในกลุ่มประเทศอาเซียน และมุ่งเน้นความสนใจพิเศษในประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเวียดนามด้วย รวมถึงกองทุนจะลงทุนในตราสารทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของทรัพย์สินของกองทุนของบริษัทที่ตั้งอยู่และมีสัดส่วนทางธุรกิจที่มีความสำคัญในประเทศอาเซียน และกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนตามตราสารทุน (Equity-linked notes) ในกรณีที่การลงทุนทางตรงมีข้อจำกัดของมูลค่าที่จะลงทุนในหลักทรัพย์นั้นๆ ได้
รายงานข่าวจากข้อมูล ณ วันที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 กองทุนมีผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 20.22% จากเกณฑ์มาตรฐานดัชนี MSCI South East Asia ซึ่งไม่ได้มีการคำนวนประเทศเวียดนามด้วยที่ให้ผลตอบแทน 22.44%
"ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงนี้ ทำให้กองทุนอยุธยา อาเซียน เวียดนาม โฟกัส มีความน่าสนใจลงทุนเป็นอย่างมาก แต่ทางบลจ.ไม่ได้ตั้งเป้าหมายจากการระดมทุนมากนัก เพราะคาดว่านักลงทุนบางส่วนน่าจะยังคงชะลอการลงทุนจากภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นอยู่ โดยตั้งเป้าว่ากองทุนนี้น่าจะสามารถระดมทุนในช่วงไอพีโอเพียง 200 ล้านบาท จากมูลค่ากองทุน 1,500 ล้านบาทเท่านั้น " นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวถึงแผนงานการออกกองทุนในปีนี้ว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีการออกกองทุนใหม่ทั้งกองทุนเปิดและกองทุนปิดรวมกันประมาณ 20 กองทุน โดยในส่วนของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ซึ่งเป็นกองทุนเปิดนั้น บริษัทมีแผนที่จะออกทั้งสิ้น 4 กองทุน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมารวมกับกองทุนที่จะมีการเปิดขายนี้ บลจ.อยุธยาได้มีการออกไปแล้วจำนวน 2 กองทุน
ขณะเดียวกัน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนเอฟไอเอฟ ที่ลงทุนในหุ้นจำนวน 1 กองทุน ลงทุนในตราสารหนี้จำนวน 1 กองทุน และลงทุนในสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ (คอมูดิตี้) จำนวน 1 กองทุน ซึ่งตั้งเป้าว่าปีนี้สินทรัพย์ภาพใต้การบริการจัดการ (AUM) ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากปลายปี 2550 ซึ่งบริษัทมีเอยูเอ็มประมาณ 5 หมื่นล้านบาท