ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์หลัง 1 เดือนรูดไปกว่า 50 จุด โบรกฯชี้ไม่มีอะไรในก่อไผ่แค่สัญญาณทางเทคนิค ย้ำตลาดหุ้นไทยยังลุ้นเหนื่อยหากปัจจัยการเมืองยังอึมครึม เตือนนักลงทุนรายย่อยระวังแรงขายทำกำไร เชื่อหุ้นไทยยังต้องซึมต่อรอปัจจัยใหม่หนุน ระบุต้องรอลุ้นข่าวยุบ"ชาติไทย-มัชฌิชาฯ" 13 มี.ค.นี้ พ่วงข่าวร้ายคตส.ส่งสำนวนเฉือดรมต.ยุครัฐบาล"แม้ว"พัวพันทุจริตหวยบนดิน
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (11 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแม้ว่าจะยังมีปัจจัยลบในประเทศปกคลุมโดยเฉพาะผลการพิจารณาสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่จะต้องสรุปว่าจะส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชี้ขาดในวันที่ 13 มี.ค.51 ซึ่งหากผลสรุปออกมาในเชิงบวกก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยแต่ในขณะเดียวกันหากผลสรุปออกมาเป็นลบอาจจะมีแรงขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนปิดที่ 819.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.18 จุด หรือ 1.63% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 820.77 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,847.65 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 17.69 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 4.55 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 22.25 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคหลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงหลายวันที่ผ่านมาโดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับลดลงไปประมาณ 40-45 จุดโดยดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 805 จุดซึ่งเมื่อไม่หลุดบริเวณ 800 จุดจึงมีแรงซื้อกลับมา ประกอบกับได้แรงหนุนจากดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ประเด็นลบที่ยังปกคลุมตลาดหุ้นโดยเฉพาะประเด็นอนุกรรมการสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ระบุผลการประชุมผลสอบสวนของอนุกรรมการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องรอการพิจารณาชี้ขาดของกกต.ชุดใหญ่ในวันที่ 13 มี.ค.นี้ โดยเรื่องดังกล่าวแม้ว่าในระยะสั้นอาจทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงไปแต่ในระยะกลางปัจจัยการเมืองปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนจะส่งผลกดดันภาพรวมบรรยากาศการลงทุนต่อไป
สำหรับแนวโน้มในวันนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆเนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้ากระตุ้นการลงทุน ประกอบกับอาจจะยังมีแรงขายทำกำไรออกมา โดยยังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองทั้งทั้งพิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย และการตัดสินคดีทุจริตการเลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รวมถึง การพิจารณาคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย รวมถึงคดีที่ 3 รัฐมนตรีในรัฐบาล ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องกรณีพัวพันหวยบนดิน โดยให้แนวรับไว้ที่ 815 จุด และให้แนวต้านไว้ที่ 825 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค ประกอบกับมีการเข้ามาเก็งกำไรข่าวการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ซึ่งน่าจะส่งผลดีและช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน
"ประเด็นการตัดสินคดียุบพรรคนั้นยังมีเวลาอีกหลายเดือนในการพิจารณาเพราะต้องรอเอกสารในการดำเนินการอีกมาก ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนรับรู้มานานแล้วจึงไม่มีผลต่อจิตวิทยามากนัก"นางสาวปองรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี รวมถึงบริษัทที่มีขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 805 จุด แนวต้าน 824-825 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับหลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาร่วงเกือบ 15 จุด โดยมีประเด็นสำคัญจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.75 - 1% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค. นี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส และแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ จากปัญหาซับไพรม์ที่ยังไม่คลี่คลาย หลังมีข่าวลือว่าสถาบันการเงินหลายแห่งอาจต้องตั้งสำรอง และรายงานผลขาดทุนในไตรมาส 1/51 ประกอบกับอนุคณะกรรมการสอบยุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 4 เสียง แต่ยังไม่เปิดเผยว่ามติเห็นควรอย่างไร โดยเตรียมส่งให้ กกต.ตัดสินในวันที่ 13 มี.ค. นี้ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองถูกชะลอออกไป
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดผันผวนตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ (11 มี.ค.) ว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งคาดว่าในช่วงนี้ตลาดยังขาดปัจจัยกระตุ้น ในขณะที่ช่วงปลายสัปดาห์ของมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ ทั้งการตัดสินคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ของกกต. และตัวเลขดัชนีผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะสะท้อนภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยประเมินแนวรับที่ 805 จุด และแนวต้านที่ 820 - 830 จุด เล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องติดตามเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน คือ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบ โดยคาดว่าตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่สหรัฐฯ จะประกาศในคืนวันอังคาร จะเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งคงช่วยให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงได้บ้าง รวมทั้งอาจมีแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาในช่วงนี้ โดยประเมินแนวรับที่ 809-811 จุด แนวต้านที่ 823-825 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (11 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแม้ว่าจะยังมีปัจจัยลบในประเทศปกคลุมโดยเฉพาะผลการพิจารณาสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่จะต้องสรุปว่าจะส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชี้ขาดในวันที่ 13 มี.ค.51 ซึ่งหากผลสรุปออกมาในเชิงบวกก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยแต่ในขณะเดียวกันหากผลสรุปออกมาเป็นลบอาจจะมีแรงขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนปิดที่ 819.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.18 จุด หรือ 1.63% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 820.77 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,847.65 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 17.69 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 4.55 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 22.25 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคหลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงหลายวันที่ผ่านมาโดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับลดลงไปประมาณ 40-45 จุดโดยดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 805 จุดซึ่งเมื่อไม่หลุดบริเวณ 800 จุดจึงมีแรงซื้อกลับมา ประกอบกับได้แรงหนุนจากดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ประเด็นลบที่ยังปกคลุมตลาดหุ้นโดยเฉพาะประเด็นอนุกรรมการสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ระบุผลการประชุมผลสอบสวนของอนุกรรมการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องรอการพิจารณาชี้ขาดของกกต.ชุดใหญ่ในวันที่ 13 มี.ค.นี้ โดยเรื่องดังกล่าวแม้ว่าในระยะสั้นอาจทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงไปแต่ในระยะกลางปัจจัยการเมืองปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนจะส่งผลกดดันภาพรวมบรรยากาศการลงทุนต่อไป
สำหรับแนวโน้มในวันนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆเนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้ากระตุ้นการลงทุน ประกอบกับอาจจะยังมีแรงขายทำกำไรออกมา โดยยังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองทั้งทั้งพิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย และการตัดสินคดีทุจริตการเลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รวมถึง การพิจารณาคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย รวมถึงคดีที่ 3 รัฐมนตรีในรัฐบาล ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องกรณีพัวพันหวยบนดิน โดยให้แนวรับไว้ที่ 815 จุด และให้แนวต้านไว้ที่ 825 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค ประกอบกับมีการเข้ามาเก็งกำไรข่าวการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ซึ่งน่าจะส่งผลดีและช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน
"ประเด็นการตัดสินคดียุบพรรคนั้นยังมีเวลาอีกหลายเดือนในการพิจารณาเพราะต้องรอเอกสารในการดำเนินการอีกมาก ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนรับรู้มานานแล้วจึงไม่มีผลต่อจิตวิทยามากนัก"นางสาวปองรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี รวมถึงบริษัทที่มีขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 805 จุด แนวต้าน 824-825 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับหลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาร่วงเกือบ 15 จุด โดยมีประเด็นสำคัญจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.75 - 1% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค. นี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส และแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ จากปัญหาซับไพรม์ที่ยังไม่คลี่คลาย หลังมีข่าวลือว่าสถาบันการเงินหลายแห่งอาจต้องตั้งสำรอง และรายงานผลขาดทุนในไตรมาส 1/51 ประกอบกับอนุคณะกรรมการสอบยุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 4 เสียง แต่ยังไม่เปิดเผยว่ามติเห็นควรอย่างไร โดยเตรียมส่งให้ กกต.ตัดสินในวันที่ 13 มี.ค. นี้ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองถูกชะลอออกไป
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดผันผวนตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ (11 มี.ค.) ว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งคาดว่าในช่วงนี้ตลาดยังขาดปัจจัยกระตุ้น ในขณะที่ช่วงปลายสัปดาห์ของมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ ทั้งการตัดสินคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ของกกต. และตัวเลขดัชนีผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะสะท้อนภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยประเมินแนวรับที่ 805 จุด และแนวต้านที่ 820 - 830 จุด เล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องติดตามเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน คือ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบ โดยคาดว่าตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่สหรัฐฯ จะประกาศในคืนวันอังคาร จะเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งคงช่วยให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงได้บ้าง รวมทั้งอาจมีแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาในช่วงนี้ โดยประเมินแนวรับที่ 809-811 จุด แนวต้านที่ 823-825 จุด