ตลาดหุ้นไทยเด้งรับเฟดประกาศเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทุ่มเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เสริมสภาพคล่อง-ฟื้นเศรษฐกิจ บวกกับคาดการณ์เฟดหั่นดอกเบี้ยลงอีก 0.50-0.75% ด้าน บล.แอ๊ดคินซัน มั่นใจหลัง พ.ค.ตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ช่วงขาขั้น หลังพิษซับไพรม์สหรัฐฯ เริ่มคลี่คลาย ขณะที่โบรกเกอร์ยังห่วงปัญหาการเมืองในประเทศฉุดความมั่นใจ แนะรอความชัดเจนคดียุบ “ชาติไทย-มัชฌิมาฯ” สัปดาห์หน้า
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศทุ่มเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงบรรเทาปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงเข้ามาเก็งกำไรข่าวธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมช่วงสัปดาห์หน้า ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด
ด้านปัจจัยทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะกระแสข่าวเรื่องผลการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่ในท้ายที่สุดอาจจะไม่ส่งผลทำให้ต้องมีการยุบพรรค เนื่องจากเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 827.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.17 จุด หรือ 0.87% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 833.12 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 825.53 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,782.48 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,335.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 220.17 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,115.81 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศจากการที่เฟดประกาศอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์จำนวน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด รวมถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน จนทำให้มีแรงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจจะมีการปรับตัวลดลงจากแรงขายเก็งกำไรระยะสั้นของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงตอบรับขาวที่เฟดจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสภาพคล่องในระบบ ประกอบกับหากการประกาศยอดปริมาณน้ำมันสำรอง (สตอกน้ำมัน) หากมีสต็อกน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้นักลงทุนมีการขายสัญญาซื้อขายน้ำมันออกมา ซึ่งจะทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานขายทำกำไร
ส่วนประเด็นการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง 2 พรรคนั้น คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งได้มีการเลื่อนพิจารณาคดีออกไปวันที่ 18 มีนาคม 2551 จากเดิมที่จะพิจารณา 13 มีนาคมนี้ คงไม่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
“หากไม่มีการการตัดสินให้ยุบพรรค จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะนักลงทุนตอบรับข่าวดังกล่าวไปแล้ว ประเมินแนวรับที่ระดับ 819-820 จุด แนวต้านที่ระดับ 830-831 จุด แต่ถ้าหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือ 831-833 จุด นักลงทุนควรมีการขายทำกำไรออกมา แต่หากเป็นนักลงทุนระยะถือลงทุนได้จากวันที่ 18 มีนาคม เฟดอาจจะมีการปรับตัวลดดอกเบี้ย 0.50%”
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองคงจะไม่ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นมากนัก แม้จะมีการยุบพรรคการเมือง เพราะปัญหาทางการเมืองจะต้องมีการดำเนินต่อไปได้ ขณะเดียวกัน หากมีการยุบทั้ง 2 พรรคจริง จะทำให้สมาชิกย้ายมารวมกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งจะทำให้มีเสียงในสภามากขึ้น โดยมองแนวรับที่ระดับ 813 จุด แนวต้านที่ระดับ 835 จุด
“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 จุด ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค” นายกวี กล่าว
ฟันธงตลาดหุ้นพ้นวิกฤต พ.ค.นี้
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดขึ้นปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่า จะถึงจุดต่ำสุดในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งในช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงวดไตรมาส 1/51 ออกมาครบแล้ว
ทั้งนี้ หากเป็นไปอย่างที่คาดการณ์เชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยคาดว่าความน่าสนใจจะมากกว่าสินค้าประเภทอื่น เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก เป็นต้น ซึ่งคาดว่าอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุด เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันเหมือนช่วงครึ่งปีแรก
“ผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่าสนใจ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาจะมีความชัดเจนมากขึ้น” นายรณกฤต กล่าว
คาดเฟดหั่นด/บ อีก 0.75%
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวบวก เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อผ่อนคลายภาวะการตึงตัวของสินเชื่อ หลังสถาบันการเงินต่างๆ ต้องตั้งสำรองจากความเสียหายจากปัญหาซับไพรม์ ประกอบกับการคาดการณ์เฟดเตรียมลดดอกเบี้ยลง 0.75% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ ฟื้นตัว
ทั้งนี้ มองว่า การอัดฉีดเงินของเฟดครั้งนี้จะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวเพียงระยะสั้น เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอยังคงอยู่ ขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อ ยังส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
“แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก แต่คิดเป็นอัตราส่วนที่น้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะนักลงทุนยังมีความกังวลกับสถานการณ์การเมือง ทำให้ไม่กล้าลงทุนอย่างเต็มที่”
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ โอกาสปรับบวกแรงๆ เป็นไปได้ยาก มีแนวต้านที่ 830-840 จุด โดยมีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ กกต.จะพิจารณาผลสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ว่า ผลสรุปจะออกมาอย่างไร รวมถึงแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศทุ่มเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงบรรเทาปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงเข้ามาเก็งกำไรข่าวธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมช่วงสัปดาห์หน้า ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด
ด้านปัจจัยทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะกระแสข่าวเรื่องผลการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่ในท้ายที่สุดอาจจะไม่ส่งผลทำให้ต้องมีการยุบพรรค เนื่องจากเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 827.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.17 จุด หรือ 0.87% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 833.12 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 825.53 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,782.48 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,335.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 220.17 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,115.81 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศจากการที่เฟดประกาศอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์จำนวน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด รวมถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน จนทำให้มีแรงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจจะมีการปรับตัวลดลงจากแรงขายเก็งกำไรระยะสั้นของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงตอบรับขาวที่เฟดจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสภาพคล่องในระบบ ประกอบกับหากการประกาศยอดปริมาณน้ำมันสำรอง (สตอกน้ำมัน) หากมีสต็อกน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้นักลงทุนมีการขายสัญญาซื้อขายน้ำมันออกมา ซึ่งจะทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานขายทำกำไร
ส่วนประเด็นการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง 2 พรรคนั้น คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งได้มีการเลื่อนพิจารณาคดีออกไปวันที่ 18 มีนาคม 2551 จากเดิมที่จะพิจารณา 13 มีนาคมนี้ คงไม่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
“หากไม่มีการการตัดสินให้ยุบพรรค จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะนักลงทุนตอบรับข่าวดังกล่าวไปแล้ว ประเมินแนวรับที่ระดับ 819-820 จุด แนวต้านที่ระดับ 830-831 จุด แต่ถ้าหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือ 831-833 จุด นักลงทุนควรมีการขายทำกำไรออกมา แต่หากเป็นนักลงทุนระยะถือลงทุนได้จากวันที่ 18 มีนาคม เฟดอาจจะมีการปรับตัวลดดอกเบี้ย 0.50%”
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองคงจะไม่ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นมากนัก แม้จะมีการยุบพรรคการเมือง เพราะปัญหาทางการเมืองจะต้องมีการดำเนินต่อไปได้ ขณะเดียวกัน หากมีการยุบทั้ง 2 พรรคจริง จะทำให้สมาชิกย้ายมารวมกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งจะทำให้มีเสียงในสภามากขึ้น โดยมองแนวรับที่ระดับ 813 จุด แนวต้านที่ระดับ 835 จุด
“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 จุด ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค” นายกวี กล่าว
ฟันธงตลาดหุ้นพ้นวิกฤต พ.ค.นี้
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดขึ้นปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่า จะถึงจุดต่ำสุดในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งในช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงวดไตรมาส 1/51 ออกมาครบแล้ว
ทั้งนี้ หากเป็นไปอย่างที่คาดการณ์เชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยคาดว่าความน่าสนใจจะมากกว่าสินค้าประเภทอื่น เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก เป็นต้น ซึ่งคาดว่าอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุด เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันเหมือนช่วงครึ่งปีแรก
“ผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่าสนใจ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาจะมีความชัดเจนมากขึ้น” นายรณกฤต กล่าว
คาดเฟดหั่นด/บ อีก 0.75%
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวบวก เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อผ่อนคลายภาวะการตึงตัวของสินเชื่อ หลังสถาบันการเงินต่างๆ ต้องตั้งสำรองจากความเสียหายจากปัญหาซับไพรม์ ประกอบกับการคาดการณ์เฟดเตรียมลดดอกเบี้ยลง 0.75% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ ฟื้นตัว
ทั้งนี้ มองว่า การอัดฉีดเงินของเฟดครั้งนี้จะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวเพียงระยะสั้น เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอยังคงอยู่ ขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อ ยังส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
“แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก แต่คิดเป็นอัตราส่วนที่น้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะนักลงทุนยังมีความกังวลกับสถานการณ์การเมือง ทำให้ไม่กล้าลงทุนอย่างเต็มที่”
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ โอกาสปรับบวกแรงๆ เป็นไปได้ยาก มีแนวต้านที่ 830-840 จุด โดยมีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ กกต.จะพิจารณาผลสอบสวนคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ว่า ผลสรุปจะออกมาอย่างไร รวมถึงแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน