ส.อ.ท. สวดส่ง "เจ๊มิ่ง" เรียลิตี้โชว์ลดราคาสินค้า 60 รายการ ทำโครงสร้างธุรกิจเอสเอ็มอีล้มละลาย แนวโน้มคนตกงานเต็มบ้านเมือง ชี้ต้นเหตุ รายย่อยปรับตัวแข่งขันราคากับรายใหญ่ยาก เอกชนคาดแนวโน้มตลาดไตรมาส 2 ราคาสินค้าปรับลดอัตโนมัติ
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค จำเป็นภายหลังจากหารือกับภาคเอกชน 12 บริษัท 60 รายการนั้น ปัญหาสินค้าโดยข้อเท็จจริงมีต้นทุนสูงขึ้น จากผลกระทบราคาน้ำมัน ทำให้ราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าโลจิสติกส์สูงขึ้นกว่า 8% จากต้นปี การที่เอกชนซึ่งมีการแข่งขันกันสูงอยู่แล้ว จะมาลดหรือเพิ่มราคานั้นเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะมีผลต่อลูกค้า
กรณีนี้กระทรวงพาณิชย์ไปหารือแค่เพียง 12 บริษัทรายใหญ่ แล้วนำมาประกาศลดราคาต่อหน่วยจำนวนมาก ถามว่าเป็นผลดีต่อประชาชนนั้น เป็นผลดีจริง ซื้อของราคาถูกขึ้น แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก เอสเอ็มอี ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ที่มีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงอยู่แล้ว อัตราการต่อรองน้อยกว่า ไม่สามารถลดราคาลงมาแข่งกับบริษัทใหญ่ได้ ก็ทำให้มีปัญหายอดขาย
“อยากให้รัฐบาลคิดให้ดี ให้รอบคอบไม่ใช่หวังเพียงทำเพื่อรักษาหน้า เน้นประชานิยมจนเกินไป ทำอย่างนี้ไม่สะท้อนการแก้ปัญหาระยะยาวเลยแม้แต่น้อย และถ้าโรงงาน ขนาดกลาง ขนาดเล็กมีปัญหาถึงขั้นเจ๊ง ก็จะเกิดปัญหาอื่นตามมามากมาย เช่น เลิกจ้างคนงาน และเมื่อคนงานไม่มีงานทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของประทังชีวิต” นายธนิต กล่าว
นายธนิต กล่าวด้วยว่า อยากเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหา โดยรัฐบาลเป็นผู้สร้างแบรนด์ผลิตสินค้าที่จำเป็นออกมา เช่น ผงซักฟอก สบู่ เป็นต้น แล้วให้เอกชนช่วยกันผลิต จะช่วยลดต้นทุนได้มาก ประชาชนก็จะซื้อของถูก ลักษณะคล้ายกับ ธงฟ้า ไหมไทย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่ามาตรการนี้
**คาดสินค้าถึงต่างจังหวัดใน 1 เดือน
นายประพจน์ นันทวัฒนศิริ นายกสมาคมสบู่ ผงซักฟอก และสิ่งชำระล้าง กล่าวว่า หลังจากการประกาศลดราคาสินค้ามีผลอย่างเป็นทางการทันที (10 มี.ค.) โดยสินค้าราคาพิเศษในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ในส่วนของของใช้ประจำวันจาก 8 บริษัทผู้ผลิต ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคม จำนวน 45 รายการ คาดว่าสินค้าทั้งหมดจะกระจายสู่ร้านค้าย่อย ซูเปอร์มาร์เก็ต ดิสเคาท์สโตร์ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่สำหรับในต่างจังหวัดอาจจะต้องใช้เวลาในการเดินทาง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 เดือน
นอกจากนี้ยังกล่าวว่าสินค้าที่นำมาลดราคาครั้งนี้ไม่เคยเป็นสินค้าที่มีการปรับราคาแต่อย่างใด โดยในความร่วมมือครั้งนี้แต่ละบริษัทได้ส่งสินค้าที่เป็นที่นิยมเข้าร่วมรายการ
สำหรับรูปแบบของการจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษครั้งนี้ จากนี้ไปแต่ละบริษัทจะจัดทำโปสเตอร์รายการสินค้าที่ลดราคาแจกจ่ายไปยังร้านค้าทั่วประเทศ และจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ระยะเวลา 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับรายการสินค้าและความสามารถในการลดราคา โดยยังได้ยืนยันว่า สินค้าที่ส่งเข้าร่วมรายการจะนำมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของการให้ความร่วมมือ โดยจะไม่มีสินค้าขาดสต็อกอย่างแน่นอน เพื่อแสดงความจริงใจกับรัฐบาลและประชาชน
**แนวโน้มลดลงอีกตลอดไตรมาส 2
นอกจากนี้ ยังคาดหมายสถานการณ์ด้านราคาสินค้าตลอดไตรมาสที่ 2 ว่า มีแนวโน้มที่จะลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค อีกหลายรายการเพื่อให้ระดับราคาใกล้เคียงกับ สินค้าราคาพิเศษ และคาดว่าจะส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าในกลุ่มอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงด้วย ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันของตลาดที่รุนแรง แม้ต้นทุนการผลิตจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยยังระบุว่า เชื่อว่าผลจากการปรับลดราคาครั้งนี้ จะเป็นกลยุทธ์การกระตุ้นความคึกคักของตลาด และส่งผลในแง่ความเคลื่อนไหวจากการที่ผู้บริโภคจะหันมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจะมีผลในเชิงจิตวิทยาด้วย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการสินค้าราคาพิเศษในครั้งนี้
ในการประชุมวานนี้ นอกจากมีผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลแล้ว ยังมีบางบริษัทที่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมรายการแต่ได้ส่งตัวแทนเข้ามาประชุมเพื่อรับทราบความก้าวหน้าของโครงการสินค้าราคาพิเศษ โดยบริษัทผู้ผลิตสบู่รายหนึ่ง ให้เหตุผลของการไม่ส่งสินค้าเข้าร่วมรายการครั้งนี้เพราะประสบปัญหาด้านต้นทุน แต่อย่างไรก็ตามจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว ซึ่งอาจส่งสินค้าเข้าร่วมรายการในครั้งต่อไป
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค จำเป็นภายหลังจากหารือกับภาคเอกชน 12 บริษัท 60 รายการนั้น ปัญหาสินค้าโดยข้อเท็จจริงมีต้นทุนสูงขึ้น จากผลกระทบราคาน้ำมัน ทำให้ราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าโลจิสติกส์สูงขึ้นกว่า 8% จากต้นปี การที่เอกชนซึ่งมีการแข่งขันกันสูงอยู่แล้ว จะมาลดหรือเพิ่มราคานั้นเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะมีผลต่อลูกค้า
กรณีนี้กระทรวงพาณิชย์ไปหารือแค่เพียง 12 บริษัทรายใหญ่ แล้วนำมาประกาศลดราคาต่อหน่วยจำนวนมาก ถามว่าเป็นผลดีต่อประชาชนนั้น เป็นผลดีจริง ซื้อของราคาถูกขึ้น แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก เอสเอ็มอี ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ที่มีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงอยู่แล้ว อัตราการต่อรองน้อยกว่า ไม่สามารถลดราคาลงมาแข่งกับบริษัทใหญ่ได้ ก็ทำให้มีปัญหายอดขาย
“อยากให้รัฐบาลคิดให้ดี ให้รอบคอบไม่ใช่หวังเพียงทำเพื่อรักษาหน้า เน้นประชานิยมจนเกินไป ทำอย่างนี้ไม่สะท้อนการแก้ปัญหาระยะยาวเลยแม้แต่น้อย และถ้าโรงงาน ขนาดกลาง ขนาดเล็กมีปัญหาถึงขั้นเจ๊ง ก็จะเกิดปัญหาอื่นตามมามากมาย เช่น เลิกจ้างคนงาน และเมื่อคนงานไม่มีงานทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของประทังชีวิต” นายธนิต กล่าว
นายธนิต กล่าวด้วยว่า อยากเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหา โดยรัฐบาลเป็นผู้สร้างแบรนด์ผลิตสินค้าที่จำเป็นออกมา เช่น ผงซักฟอก สบู่ เป็นต้น แล้วให้เอกชนช่วยกันผลิต จะช่วยลดต้นทุนได้มาก ประชาชนก็จะซื้อของถูก ลักษณะคล้ายกับ ธงฟ้า ไหมไทย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่ามาตรการนี้
**คาดสินค้าถึงต่างจังหวัดใน 1 เดือน
นายประพจน์ นันทวัฒนศิริ นายกสมาคมสบู่ ผงซักฟอก และสิ่งชำระล้าง กล่าวว่า หลังจากการประกาศลดราคาสินค้ามีผลอย่างเป็นทางการทันที (10 มี.ค.) โดยสินค้าราคาพิเศษในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ในส่วนของของใช้ประจำวันจาก 8 บริษัทผู้ผลิต ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคม จำนวน 45 รายการ คาดว่าสินค้าทั้งหมดจะกระจายสู่ร้านค้าย่อย ซูเปอร์มาร์เก็ต ดิสเคาท์สโตร์ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่สำหรับในต่างจังหวัดอาจจะต้องใช้เวลาในการเดินทาง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 เดือน
นอกจากนี้ยังกล่าวว่าสินค้าที่นำมาลดราคาครั้งนี้ไม่เคยเป็นสินค้าที่มีการปรับราคาแต่อย่างใด โดยในความร่วมมือครั้งนี้แต่ละบริษัทได้ส่งสินค้าที่เป็นที่นิยมเข้าร่วมรายการ
สำหรับรูปแบบของการจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษครั้งนี้ จากนี้ไปแต่ละบริษัทจะจัดทำโปสเตอร์รายการสินค้าที่ลดราคาแจกจ่ายไปยังร้านค้าทั่วประเทศ และจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ระยะเวลา 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับรายการสินค้าและความสามารถในการลดราคา โดยยังได้ยืนยันว่า สินค้าที่ส่งเข้าร่วมรายการจะนำมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของการให้ความร่วมมือ โดยจะไม่มีสินค้าขาดสต็อกอย่างแน่นอน เพื่อแสดงความจริงใจกับรัฐบาลและประชาชน
**แนวโน้มลดลงอีกตลอดไตรมาส 2
นอกจากนี้ ยังคาดหมายสถานการณ์ด้านราคาสินค้าตลอดไตรมาสที่ 2 ว่า มีแนวโน้มที่จะลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค อีกหลายรายการเพื่อให้ระดับราคาใกล้เคียงกับ สินค้าราคาพิเศษ และคาดว่าจะส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าในกลุ่มอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงด้วย ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันของตลาดที่รุนแรง แม้ต้นทุนการผลิตจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยยังระบุว่า เชื่อว่าผลจากการปรับลดราคาครั้งนี้ จะเป็นกลยุทธ์การกระตุ้นความคึกคักของตลาด และส่งผลในแง่ความเคลื่อนไหวจากการที่ผู้บริโภคจะหันมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจะมีผลในเชิงจิตวิทยาด้วย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการสินค้าราคาพิเศษในครั้งนี้
ในการประชุมวานนี้ นอกจากมีผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลแล้ว ยังมีบางบริษัทที่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมรายการแต่ได้ส่งตัวแทนเข้ามาประชุมเพื่อรับทราบความก้าวหน้าของโครงการสินค้าราคาพิเศษ โดยบริษัทผู้ผลิตสบู่รายหนึ่ง ให้เหตุผลของการไม่ส่งสินค้าเข้าร่วมรายการครั้งนี้เพราะประสบปัญหาด้านต้นทุน แต่อย่างไรก็ตามจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว ซึ่งอาจส่งสินค้าเข้าร่วมรายการในครั้งต่อไป
