xs
xsm
sm
md
lg

"ก้องเกียรติ" ชี้แม้วกลับไทย ไม่เกี่ยวตลาดหุ้น-แนะกล้าหาญยกเลิก 30%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปธ.สภาตลาดทุนไทย ชี้ประเด็นร้อนการเมือง แม้วกลับไทย-กกต.แจกใบแดง ไม่กระทบตลาดหุ้น แนะนักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกเกินเหตุ แนะรัฐบาลกล้าหาญยกเลิก 30% ในจังหวะที่เหาะสม พร้อมคาดแนวโน้มปี 51 กำไร บจ.โต 20% จากที่เคยติดลบ 4% ในปี 50

วันนี้(27 ก.พ.) นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นไทย โดยมองว่ากำไรของบริษะทจดทะเบียน(บจ.) จะเติบโตได้ถึง 20% จากปีก่อนที่ติดลบ 4% จากนโยบายการลงทุนของรัฐบาลที่จะเป็นตัวกระตุ้น รวมถึงดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุน

"มองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นไทยเพราะถึงรอบการกลับมาของวัฏจักรการลงทุนที่จะมาจากนโยบายการลงทุนของรัฐบาลที่จะเป็นตัวกระตุ้น รวมถึงดอกเบี้ยขาลงล้วนเป็นเหตุผลให้เกิดการลงทุนในตลาดหุ้น"

ส่วนภาพลบที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทั้งประเด็นเรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และการกลับประเทศไทยของอดีตนายกรัฐมนตรี โดยส่วนตัวมองว่าทั้งสองเรื่องไม่น่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย

"การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีทั้งฝ่ายที่ต้อนรับและคัดค้าน แต่ไม่น่ากังวล เพราะถ้าเป็นการกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่ควรขัดขวาง และไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกกับเรื่องนี้เกินเหตุ ส่วนเรื่องการให้ใบแดงนายยงยุทธ ไม่น่ามีผลเช่นกัน"

นายก้องเกียรติ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่นักลงทุนต่างประเทศต้องการที่จะเข้ามาลงทุน แต่ยังมีข้อติดขัดในเรื่องคุณภาพหุ้นขนาดใหญ่ที่มีจำกัด รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็นต้องเร่งผ่าตัด ข้อกังขาต่อกฎหมายที่ไม่เป็นมิตรต่อนักลงทุน ไม่ว่าจะเรื่องของกฎหมายการถือครองหุ้น เรื่องมาตรการกันสำรอง 30%

"การยกเลิกมาตรการ 30% ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่มีข่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวตลาดหุ้นไทยได้ตอบรับข่าวไปบ้างแล้ว แต่ในช่วงนี้ทางธปท.รอแค่ระยะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น"

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะมีมาตรการกันสำรอง 30% แต่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้น 10% อยู่ในระดับเดียวกันกับค่าเงินในต่างประเทศ เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ทั้งที่ประเทศดังกล่าว ไม่มีมาตรการมารองรับการเคลื่อนไหวของเงินบาท ดังนั้น จึงมีข้อสังเกตว่ามาตรการ 30% ใช้ได้ผลจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตลาดทุนไทยอยู่ในช่วงของการผ่าตัด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี และควรให้เวลารัฐบาลในการผลักดันตลาดทุนไทย และทำให้ตลาดทุนไทยที่ความเชื่อมโยงควบคู่กับตลาดเงิน เพราะจะเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตไปด้วย

**กบข.ชี้แมงเม่า ต้นตอตลาดหุ้นผันผวน

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดทุนไทยควรให้ความสำคัญในการเพิ่มคุณภาพและจำนวนบริษัทที่มีขนาดใหญ่ หรือ มีมาร์เก็ตแคปสูง เนื่องจะเป็นการเพิ่มคุณภาพของสินค้าแล้ว ยังเป็นการดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนเข้ามาด้วย โดยหากพิจารณาในปัจจุบันจะพบว่าในตลาดหุ้นไทยมีหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่น้อย แต่หุ้นมาร์เก็ตแคปเล็กกว่า 377 บริษัท จากจำนวน 500 กว่าบริษัทในตลาด ซึ่งถือว่ามากเกินไป และทำให้มีแต่นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายกันเอง และส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนตามไปด้วย

นอกจากนี้ นายวิสิฐ ยังให้ความเห็นเรื่องการเมืองว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หรือทำให้เกิดความกังวล แต่ยอมรับว่า อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจจะทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนบ้าง แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการสนับสนุนการลงทุนว่าจะช่วยสนับสนุนและผลักดันการเติบโตของตลาดหุ้นไทยไปในทิศทางใด

**บล.ภัทร ชี้ตลาดหุ้นไทยตกขอบเวทีโลก

นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บล. ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวอภิปรายในหัวข้อความสำคัญของตลาดทุนไทยต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ระบุว่า สถานะของตลาดทุนไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะชะงักงันและค่อยๆ เลือนหายออกจากเวทีตลาดการเงินโลก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดทุนของประเทศตลาดเกิดใหม่โต 35% แต่ตลาดทุนไทยไม่ได้ขยายตัว โดยมูลค่าตลาดรวมโต 8.5% ต่อปี ขณะที่กิจกรรมในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับตลาดทุนกับติดลบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการวิเคราะห์และปฎิรูปอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการรับรู้ความสำคัญของตลาดทุนต่อผู้บริหารนโยบายปัญหาทางด้านโครงการสร้างและพฤติกรรมซึ่งการที่จะพัฒนาได้จะต้องมีการปฎิรูปทั้งหมดและแน่นอนว่าย่อมจะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยขชน์อย่างแน่นอน

"ตลาดทุนเป็นหัวใจในระบบเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัฒน์หากไม่พัฒนาตลาดทุนระบบเศรษฐกิจจะมีปัญหาด้านต้นทุนทางการเงินรวมถึงการเคลื่อนย้านและการพัฒนาเทคโนโลยีจะมีปัญหาตามมา"

**บล.ทิสโก้ แนะลดหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์-ความเสี่ยงเงินทุนระยะสั้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างเร่งด่วน โดยให้ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มขนาดของตลาดหลักทรัพย์ หรือมาร์เก็ตแคปให้อยู่ที่ 1 เท่าของจีดีพี จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 0.8 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยมาร์เก็ตแคปในภูมิภาคเอเชียอยู่ที่ 1.4 เท่า

ขณะเดียวกันควรที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การอุปโภคบริโภคเพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างของธุรกิจไทย และเป็นการลดสัดส่วนหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของตลาดทุนไทย และยังเป็นการดึงเงินจากนักลงทุนต่างชาติในระยะยาวเข้ามารวมทั้งเป็นการลดความผันผวนของตลาดหุ้นจากเงินทุนระยะสั้นที่เข้ามา ดังนั้นถ้าสามารถเพิ่มตลาดของตลาดได้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ไทยควรมียุทธศาสตร์ในการเพิ่มมูลค่าของหุ้นเพื่อให้ค่าพีอีของตลาดหุ้นไทยมีการปรับสูงขึ้นจากระดับต่ำสุดในภูมิภาค เนื่องจากขณะนี้ตลาดหุ้นประเทศอื่นที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้อยกว่าไทย เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียมีค่าพีอีของตลาดหลักทรัพย์สูงกว่าประเทศไทยแล้ว ดังนั้นหากไม่ดำเนินการในการพัฒนาตลาดทุนไทยอาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ โดยค่าพีอีของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 1.25 เท่า ส่วนอินโดนีเซีย ที่ 18.2 เท่า และมาเลเซีย ที่ 15.4 เท่า
กำลังโหลดความคิดเห็น