xs
xsm
sm
md
lg

ใบแดง “ยุทธ” ฉุดดัชนีรูด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดัชนีหุ้นไทยทรุดหนัก หลัง กกต.มีมติให้ใบแดง “ยุทธ ตู้เย็น” ฐานทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก่อนส่งไม้ต่อให้ศาลฎีกาพิพากษาชี้ขาด ขณะที่นักลงทุนเองหวั่นบานปลายถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน ก่อนฟื้นตัวช่วงบ่ายเหลือปิดลบแค่ 4 จุด ด้าน “ภัทรียา” ประสานเสียงโบรกเกอร์กระทบแค่ระยะสั้นๆ เหตุขั้นตอนยังอีกยาวไกล พร้อมลุ้นปัจจัยบวก กนง.ปรับลดดอกเบี้ยวันนี้ ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์เตรียมคลอดมาตรการจัดการหุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิส

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ก.พ.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้า แต่หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่วนใหญ่ 3 ต่อ 2 ให้ส่งความเห็นไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน ส่งผลทำให้มีแรงเทขายออกมาอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะบานปลายไปจนถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน

ทั้งนี้ ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 846.40 จุด ต่ำสุด 824.62 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 834.67 จุด ลดลงจากวันก่อน 4.07 จุด หรือคิดเป็น 0.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 22,662.14 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,647.04 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 88.63 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,558.42 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ กกต.มีการให้ใบแดง นายยงยุทธ ติยะไพรัช นั้น เชื่อว่า จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงแค่ในวานนี้ (26 ก.พ.) เท่านั้น เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของตัวบุคคล แต่การพิจารณาในเรื่องจะมีการยุบพรรคหรือไม่นั้นก็ต้องรอให้ศาลฎีกามีการพิจารณา

“หุ้นไทยปรับตัวลดลงจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่ดัชนีในช่วงบ่ายก็สามารถรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้ เพราะเรื่องใบแดงนายยงยุทธเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล และต้องรอดูว่าศาลฎีกาจะมีคำชี้ขาดอย่างไรต่อไป ซึ่งคาดว่า ศาลฎีกามีเวลาพิจารณา 2 สัปดาห์ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังคงมีข่าวดีในเรื่องนโยบายภาครัฐที่จะมีการสนับสนุนตลาดทุนมากขึ้น และจะมีการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งในวันนี้ถือว่ามีข่าว 2 มุม ทั้งแง่ลบและบวก”

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้เผชิญกับแรงขายทำกำไร หลังทราบข่าว กกต.แจกใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน และประธานสภาผู้แทนราษฎร กรณีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย ซึ่งอาจจะนำไปสู่กระบวนการยุบพรรคพลังงานประชาชน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะขั้นตอนต่อไปต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอีกนาน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (27 ก.พ.) ปัจจัยหลักที่จะมีผลกระทบตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง ความคืบหน้าโครงการต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทและการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%

“ปัจจัยในประเทศยังคงเป็นหลักที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศไม่มีผลมากนัก โดยในวันนี้ดัชนีมีแนวรับที่ 825 จุด แนวต้านที่ 846 จุด”

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบเพียงระยะสั้น ก่อนจะถูกกลบด้วยนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่จะทยอยประกาศออกมา รวมถึงการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.รวมถึงปัจจัยบวกจากการสัมมนาระหว่างรมว.คลังและตลาดหลักทรัพย์ ในวันนี้

“ตลาดหุ้นไทยวันนี้จะรีบาวนด์ หาก กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 820-825 จุด แนวต้านที่ 846-850 จุด แนะนำนักลงทุนทยอยซื้อสะสม หลังจากข่าวร้ายเรื่องการเมืองได้คลี่คลายไปบ้าง”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือออกมายืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทค้ำประกันหุ้นกู้สหรัฐฯ 2 ราย ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ

“ต้องติดตามว่าเรื่องการให้ใบแดงนายยงยุทธ จะนำมาซึ่งอะไรบ้าง ภาพความสมานฉันฑ์จะเกิดได้หรือไม่ รวมถึงในกรณีที่ศาลฎีกายืนยันคำตัดสินของกกต. จะบานปลายไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ซึ่งคาดว่าในระยะสั้นคงยังหาข้อสรุปไม่ได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกนาน หากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน"

**ลุ้น กนง.หั่นดอกเบี้ยวันนี้

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวถึงการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้า ว่า เป็นผลจากความกังวลต่อกรณีมติกกต.ในการพิจารณาคดีนายยงยุทธ เพราะมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างมาก อาจจะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่นักลงทุนค่อนข้างกังวล

ทั้งนี้ ในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบที่ระดับ 846 จุด ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดในปีนี้ โดยแนวรับอยู่ที่ระดับ 825 จุด

ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า หลังการประกาศมติ กกต.อย่างเป็นทางการ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นประเด็นลบต่อจิตวิทยาในการลงทุนแต่ในเรื่องดังกล่าวถือว่านักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศก็รับทราบข้อมูลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ความคลุมเครือและไม่ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้นจึงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนกับเข้ามาซื้อขายอีกครั้ง

“ตอนนี้ถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าในช่วงแรกนักลงทุนจะตกใจจึงเทขายออกมาแต่ในท้ายที่สุดก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี” แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับประเด็นที่ถูกนำในโยงใยเพื่อสะท้อนจิตวิทยาในการลงทุนในช่วงสัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางกลับมาประเทศไทยของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงการประชุมเพื่อพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการพิจารณาในวันนี้ ซึ่งเชื่อว่าแม้ว่าการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไรก็จะไม่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีมากนักเพราะการคาดการณ์ของนักลงทุนในตอนนี้มีทั้ง 2 กรณี ทั้งเชื่อว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเชื่อว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

**ตลท.เล็งจัดการหุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิส

นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะออกมาตรการเพื่อใช้สกัดกั้นหุ้นที่มีแรงเก็งกำไรที่สูง โดยจะนำหุ้นที่มีรายชื่อที่มีปริมาณการหมุนเวียนของจำนวนหุ้นสูง (เทิร์นโอเวอร์ลิส) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาพิจารณาเพื่อที่จะมีการดำเนินงานอย่างไรต่อไปกับหุ้นที่มีรายชื่อติดในข้อมูลเทิร์นโอเวอร์ลิสของ ก.ล.ต.เพราะหุ้นที่ติดรายชื่อเทิร์นโอเวอร์ลิสนั้นถือว่าเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติ โดยตลาดหลักทรัพย์จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าเสนอต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (บอร์ด) พิจารณา

สำหรับการดูแลหุ้นเก็งกำไรนั้นตลาดหลักทรัพย์ก็มีการติดตามดูอยู่ ซึ่งการที่ ก.ล.ต.มีการประกาศรายชื่อหุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิสนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงถึงหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติเพื่อนำมาประกอบการดูแลหุ้นเก็งกำไร จากเดิมที่เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งในการพิจารณา

สำหรับกรณีที่ ก.ล.ต.ได้ออกมาตรการเพิ่มในการสกัดกั้นการเก็งกำไรในหุ้นที่มีมากเกินไปนั้น เรื่องดังกล่าวตลาดหลักทรัพย์เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี และ ก.ล.ต.ก็ถือเป็นหน่วยงานที่มีส่วนช่วยตลาดหลักทรัพย์ในการกำกับดูแลการซื้อขายที่มีแรงเก็งกำไรมากเกินไปอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ส่วนของมาตรการห้ามการซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ในหุ้นตัวเดียวกันวันเดียวกัน (เน็ตเซ็ตเทิลเมนต์) และการห้ามสมาชิกให้วงเงินกู้ยืมในการซื้อขายหุ้น (มาร์จินเทรดดิ้ง) ยังคงมีอยู่ ซึ่งการใช้มาตรการเหล่านี้ถือเป็นการเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นที่ถูกมาตรการเหล่านี้

สำหรับแนวคิดการเพิ่มหลักประกันในการซื้อขายหุ้นเป็น 15% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 10% นั้น เรื่องนี้ทางสมาคมโบรกเกอร์อยู่ระหว่างหารือ ซึ่งภายหลังได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว จะมีการส่งเรื่องมายังตลาดหลักทรัพย์เพื่อพิจารณา ก่อนส่งต่อให้ ก.ล.ต.พิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย

“เราอยู่ระหว่างดูว่าจะมีมาตรการอะไรเสริมเพิ่มขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งที่คิดไว้คือจะนำรายชื่อหุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิสสูงของ ก.ล.ต.มาเป็นแนวทางในการกำกับดูแลหุ้น แส่วนการพิ่มการวางหลักประกันนั้นถือว่าเป็นการดูแลในเรื่องความเสี่ยงของโบรกเกอร์ แต่เทิร์นโอเวอร์ลิสนั้นเป็นการดูแลหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติ” นางภัทรียา กล่าว

สัปดาห์ที่ผ่านมา (18-22 ก.พ.) ก.ล.ต.ประกาศหุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิส ประกอบด้วย ASCON SC BLISS LANNA EMC SICCO TCC LIVE TTA
กำลังโหลดความคิดเห็น