ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.50 เท่ากับ 79.8 ลดลงจาก 82.3 ในเดือน พ.ย.50 ระบุ ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และค่าเงินบาท เป็นตัวแปรหลัก ผู้ประกอบการฯ วิตกสถานการณ์กู่ไม่กลับ ดึงความเชื่อมั่นสู่ระดับการถดถอย
วันนี้(22 ม.ค.) นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย(Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือน ธ.ค.50 โดยระบุว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 79.8 จาก 82.3 ในเดือน พ.ย.50 และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดือน ธ.ค.49 ที่อยู่ในระดับ 85.9
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากยอดคำสั่งซื้อ ยอดขายในต่างประเทศที่มีการปรับตัวลดลงจากเดือน พ.ย.50 โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก อาหาร พลาสติก เนื่องจากผู้ประกอบการวิตกเกี่ยวกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องจากเดือน พ.ย. ทำให้ปริมาณการผลิต และผลประกอบการปรับตัวลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ลดลงในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยอดคำสั่งซื้อและยอดขายภายในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้น เพราะได้รับผลบวกจากช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนต้นทุนการประกอบการมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมีผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นมาตลอด 3 เดือนเริ่มมีการทรงตัวในเดือนธันวาคม จึงทำให้ผู้ประกอบการคลายความกังวลในระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการด้านต้นทุนยังไม่แข็งแกร่ง เนื่องจากยังถูกกระทบจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และยังอยู่ในแนวโน้มที่สูงขึ้น จึงไม่สามารถช่วยพยุงให้ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมในเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวดีขึ้น
เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม 2550 พบว่า น้ำมัน และเศรษฐกิจโลก ตัวแปรสำคัญกระทบดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุด รองลงมาคือภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ถูกกระทบจากปัญหา Sub prime ในประเทศสหรัฐอเมริกา ตามด้วยปัจจัยทางการเมือง การแข็งค่าของเงินบาท และแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามลำดับ
ส่วนค่าดัชนีดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 98.1 ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ ณ เดือนพฤศจิกายน 2550 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยาง อาหาร เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่ดีขึ้นมาก จากการคาดการณ์ว่ายอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศจะมีแนวโน้มดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการกระตุ้นจาก Mega Projects และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่คาดว่าจะออกมาในปี 2551 ซึ่งสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 97.0 ซึ่งต่ำกว่า 100 ไม่มาก และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน
ภายใน 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการยังกังวลการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันมากที่สุด รองลงมาเป็นภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับการแข็งค่าของเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในทิศทางสูงขึ้นเป็นปัจจัยที่กระทบน้อยกว่า ขณะที่มองว่าปัจจัยด้านการเมืองจะส่งผลกระทบต่อกิจการน้อยลง
ด้านข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นและความมีเสถียรภาพทางการเมือง ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนในประเทศ เร่งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2551เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กำหนดนโยบายส่งเสริมด้านพลังงานทดแทนให้ชัดเจน มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ ดูแลระดับราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันไม่ให้ผันผวนและสูงเกินไป ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ กระตุ้นสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ และชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศ แก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเร่งมาตรการให้การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม