xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นพุ่งรับสภาพัฒน์ปรับจีดีพี BANPU ทะลุ 500 บ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นเด้งรับสภาพัฒน์ปรับเพิ่มเป้าจีดีพีจาก 4-5% เป็น 4.5-5.5% พ่วงปัจจัยบวกบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ประกาศจ่ายปันผลสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่ราคาหุ้น "บ้านปู" ทะยานทะลุ 500 บาทเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น โบรกเกอร์คาดกนง.หั่นดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ จับตาการพิจารณาคดี "ยงยุทธ" ห่วงล่ามยุบพลังประชาชน

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 ก.พ.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศปรับเป้า GDP ปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5-5.5% จากเดิมที่ระดับ 4-5% รวมถึงผลการดำเนินงานประจำปี 50 ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายแห่งออกมาดีและประกาศจ่ายเงินปันผลในระดับค่อนข้างสูง

จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 838.74 จุด เพิ่มขึ้น 11.88 จุด หรือ 1.44% มีจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 840.23 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 834.20 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,519.18 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,346.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 280.60 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,066.14 ล้านบาท

สำหรับหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด คือ หุ้นบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ราคาปิดที่ 42 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,537.63 ล้านบาท, บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 336 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,370.52 ล้านบาท, บมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 158 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท มูลค่าการซื้อขาย 896.55 ล้านบาท, บมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 500 บาท เพิ่มขึ้น 16 บาท มูลค่าการซื้อขาย 863.51 ล้านบาท โดยราคา BANPU ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับเพิ่มจีดีพีเป็น 4.5-5.5% ของสภาพัฒน์ รวมทั้งการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงของหุ้นกลุ่มปตท. ทำให้หุ้นกลุ่มปตท. มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ด้านปัจจัยลบในประเทศที่จะเข้ามาเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การพิจารณาคดีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคพลังประชาชน ที่อาจจะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสด 75% และลงทุนหุ้น 25% โดยให้ทยอยขายทำกำไร เมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงแนวต้านประมาณ 840 จุด

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การรายงานตัวเลขจีดีพีของสภาพัฒน์ ในไตรมาส 4/50 ที่ขยายตัวถึง 5.7% สูงกว่าตัวเลขเฉลี่ย 3 ไตรมาสแรกที่ 4.4% และรัฐบาลเรียกหน่วยงานต่างๆ เข้าหารือโครงการเมกะโปรเจกต์ 5 โครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย

ขณะเดียวกัน ยังมีการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 27 ก.พ.นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะช่วยให้การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำได้เร็วขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานหลังได้รับปัจจัยหนุนจากการน้ำมันดิบที่แกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องรอความชัดเจน คือ การพิจารณาตัดสินคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าจะออกมาอย่างไร และจะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ รวมถึงคำสั่งย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มการเมืองออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องรอดูคือ ประธานเฟดจะแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีในวันที่ 27-28 กุ.พ. ว่าจะมีการส่งสัญญาณถึงการลดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนหรือไม่ โดยประเมินแนวรับที่ 820 แนวต้านที่ 844 จุด

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่แกว่งตัวอยู่ในระดับสูงช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ประกอบตลาดหุ้นคาดหวังเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ในการประชุมวันที่ 27 ก.พ. นี้ รวมถึงมาตรการกันสำรอง 30% ที่อาจได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในสัปดาห์นี้ หลังรัฐมนตรีคลังเคยกล่าวว่าจะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนการไปโรดโชว์ในเดือนมีนาคมนี้

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้ยังมีปัจจัยที่ติดตาม คือ สหรัฐฯจะมีการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว เช่น ยอดขายบ้านมือสอง คำสั่งซื้อสินค้าคงทน และตัวเลข GDP เป็นต้น รวมถึงการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของเฟดต่อสภาฯ โดยประเมินแนวรับที่ 830 จุด แนวต้าน 845-850 จุด

**ตลท.ยันตามติดหุ้นเก็งกำไร
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)ในขณะนี้ที่เฉลี่ยที่ 20,000 ล้านบาทต่อวัน ถือว่าเป็นระดับที่ดีซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยมี 2 ปัจจัยคือการตอบรับกับรัฐบาลใหม่และนโยบายการดำเนินงาน และปรับตัวเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ
สำหรับหุ้นเก็งกำไรนั้นตลท.มีการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพบความไม่ปกติและราคาไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ตลท.ก็จะมีการติดตามดูแล โดยให้มีการเปิดเผยข้อมูลและอาจมีการห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) โดยปัจจุบันหุ้นที่มีการซื้อขายเก็งกำไรนั้นถือว่ามีจำนวนไม่มากซึ่งไม่เกิน 5 หลักทรัพย์
กำลังโหลดความคิดเห็น