“รังสรรค์ ต่อสุวรรณ”ส่งไม่ต่อลูกชายแก้หนี้ตึก สาธร ยูนิค ลูกค้าเตรียมเฮรับเงินคืน หลังดองมากว่า 10 ปี เผยเจรจาแบงก์ - เจ้าหนี้การค้าได้ข้อยุติ ส่วนลูกค้ากว่า 90% ยินดีรับเงินคืน พร้อมสัญญาขายตึกได้ยินดีคืนเงิน ล่าสุดดิวขายให้กองทุนอสังหาฯของเอ็มเอฟซีเป็นหมั่นหลังจัดตั้งไม่สำเร็จ พร้อมหาผู้ลงทุนใหม่
นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รังสรรค์ แอนด์ พรรษิษฐ์ สถาปัตย์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาอาคาร สาธร ยูนิค ทาวน์เวอร์ ย่านถนนเจริญกรุง ที่ประสบปัญหาด้านเงินลงทุนก่อสร้างในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจว่า โครงการดังกล่าวพัฒนาโดยนายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ซึ่งบิดาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม สูง 47 ชั้น จำนวน 600 ยูนิต ราคาขาย 20,000-30,000 บาท/ตร.ม. เปิดตัวตั้งแต่ปี 33 แต่ติดปัญหาสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ ทำให้โครงการยุติลง ต่อมา ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อโครงการดังกล่าวจาก องค์กรเพื่อปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) หลังจากบล.ไทแม็กซ์ฯ เจ้าหนี้รายใหญ่ถูกปิดกิจการและขายทอดตลาดโครงการดังกล่าว
นายพรรษิษฐ์ กล่าวว่า จากที่ได้เข้ามาสะสางปัญหาของสาธร ยูนิคในปี46 จนถึงปัจจุบัน การเจรจาใกล้ถึงที่สุดแล้ว โดยมีแนวคิดที่จะนำอาคารดังกล่าวขายให้แก่นักลงทุนในราคาประมาณ 1,800 ล้านบาท และนำเงินดังกล่าวใช้คืนเจ้าหนี้ ซึ่งได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน ประมาณ 500 ล้านบาท หนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทสี่พระยา จำกัด ประมาณ 100 ล้านบาท และในส่วนของลูกค้าอีกกว่า 600 ล้านบาท
“อดีตโครงการนี้ขาย20,000 บาท/ตร.ม. แต่ในปัจจุบันราคาขายประมาณ 80,000 บาทต่อ ตร.ม. ทางออกที่ดีที่สุดคือขายให้กับนักลงทุนรายใหม่ และคืนเงินลูกค้าเก่า เพราะหากจะสร้างต่อต่อใช้วงเงินเพิ่ม 1,200-2,400 ล้านบาท ”
สำหรับปัญหาการฟ้องร้องของลูกค้ายอมรับว่าได้พยายามเจรจามาตลอดซึ่งหากขายโครงการดังกล่าวได้ก็จะคืนเงินลูกค้าให้ได้มากที่สุด และก่อนหน้านี้ได้เจรจากับลูกค้าไปบ้างแล้ว โดยเชื่อว่ากว่า 90% ยอมที่จะรับเงินคืน อย่างไรก็ตาม ปัญหาในปัจจุบันคือผู้ลงทุนรายใหม่จากต่างประเทศ ที่เคยทำสัญญาซื้อตึกไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การกันสำรอง 30%
นายพรรษิษฐ์ ภายหลังจากแก้ปัญหาสาธร ยูนิค สำเร็จ จะเริ่มซื้อโครงการเก่าของบริษัทจากสถาบันการเงิน มาพัฒนาต่อให้แล้วเสร็จ ซึ่งอาจต้องตัดขายที่ดินบางส่วน อย่างไรก็ตามการดำเนินงานต่อจากนี้จะต้องพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโครงการ บูลสกาย ทาวน์เวอร์ พัทยา มูลค่าถึง 17,000 ล้านบาทของนายรังสรรค์นั้น จะพัฒนาแบบโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากมีเงินลงทุนสูง โดยจะต้องพัฒนาในรูปแบบผสมผสาน เพื่อสร้างรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็ฯเงินลงทุน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
***แบงก์เคเคเชี้แก้หนี้ใกล้สรุป
นายธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ในโครงการสาธร ยูนีค ใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว เนื่องจากทางเจ้าหนี้และเจ้าหนี้การค้า ค่อนข้างเห็นพ้องที่จะดำเนินการให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นโครงการที่มีศักยภาพในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อาคาร
แหล่งข่าวในวงการกล่าวกับ กล่าวว่า โครงการสาธร ยูนีค ยังได้รับความสนใจจากบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด ได้จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) เพื่อลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท โดยกองทุนTHOS จะลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทในจำนวน 2 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารสาธร ยูนีค ที่เป็นโรงแรมและคอนโดฯในกรุงเทพฯ มูลค่า 4,055 ล้านบาท
" แม้ทางMFC จะมองเห็นถึงศักยภาพและโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่ากองทุนรวมอสังหาฯจากการเข้าไปลงทุนในโครงการสาธร ยูนีค แต่ปัญหาเยอะมาก โดยเฉพาะผู้ลงทุนกังวลเรื่องกันสำรอง 30% และปัญหาของผู้ลูกค้าเดิมของโครงการ ว่าจะรับข้อเสนอได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอาจจะมีผลในเชิงกฎหมายได้ "แหล่งข่าวกล่าว และยอมรับว่าโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งใจกลางศูนย์กลางธุรกิจ(ซีบีดี) และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ้าBTSสาทร ซึ่งในอนาคตแล้ว เมื่อมีการเปิดใช้บริการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าBTSสีลม-ฝั่งธนบุรี จะสามารถรองรับกำลังซื้อและความต้องการในการใช้บริการ ทำให้แนวโน้มมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น
สำหรับโครงการสาธร ยูนีค ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้วประมาณ 80-90% เหลืองานระบบและตกแต่ง ซึ่งตามแผนเดิมหลังจากสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะดำเนินการเป็นโรงแรมและจะมีการขายพื้นที่ในส่วนของชั้น 25-44 จากจำนวน47ชั้น ซึ่งจะผลดีในการสร้างผลตอบแทนให้แก่โครงการได้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราห้องพักเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000 บาทต่อคืน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยในส่วนของโรงแรมบริหารงานโดย Puravarna ทีมงานบริหารโรงแรมจากสเปน
นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รังสรรค์ แอนด์ พรรษิษฐ์ สถาปัตย์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาอาคาร สาธร ยูนิค ทาวน์เวอร์ ย่านถนนเจริญกรุง ที่ประสบปัญหาด้านเงินลงทุนก่อสร้างในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจว่า โครงการดังกล่าวพัฒนาโดยนายรังสรรค์ ต่อสุวรรณ ซึ่งบิดาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม สูง 47 ชั้น จำนวน 600 ยูนิต ราคาขาย 20,000-30,000 บาท/ตร.ม. เปิดตัวตั้งแต่ปี 33 แต่ติดปัญหาสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ ทำให้โครงการยุติลง ต่อมา ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อโครงการดังกล่าวจาก องค์กรเพื่อปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) หลังจากบล.ไทแม็กซ์ฯ เจ้าหนี้รายใหญ่ถูกปิดกิจการและขายทอดตลาดโครงการดังกล่าว
นายพรรษิษฐ์ กล่าวว่า จากที่ได้เข้ามาสะสางปัญหาของสาธร ยูนิคในปี46 จนถึงปัจจุบัน การเจรจาใกล้ถึงที่สุดแล้ว โดยมีแนวคิดที่จะนำอาคารดังกล่าวขายให้แก่นักลงทุนในราคาประมาณ 1,800 ล้านบาท และนำเงินดังกล่าวใช้คืนเจ้าหนี้ ซึ่งได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน ประมาณ 500 ล้านบาท หนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทสี่พระยา จำกัด ประมาณ 100 ล้านบาท และในส่วนของลูกค้าอีกกว่า 600 ล้านบาท
“อดีตโครงการนี้ขาย20,000 บาท/ตร.ม. แต่ในปัจจุบันราคาขายประมาณ 80,000 บาทต่อ ตร.ม. ทางออกที่ดีที่สุดคือขายให้กับนักลงทุนรายใหม่ และคืนเงินลูกค้าเก่า เพราะหากจะสร้างต่อต่อใช้วงเงินเพิ่ม 1,200-2,400 ล้านบาท ”
สำหรับปัญหาการฟ้องร้องของลูกค้ายอมรับว่าได้พยายามเจรจามาตลอดซึ่งหากขายโครงการดังกล่าวได้ก็จะคืนเงินลูกค้าให้ได้มากที่สุด และก่อนหน้านี้ได้เจรจากับลูกค้าไปบ้างแล้ว โดยเชื่อว่ากว่า 90% ยอมที่จะรับเงินคืน อย่างไรก็ตาม ปัญหาในปัจจุบันคือผู้ลงทุนรายใหม่จากต่างประเทศ ที่เคยทำสัญญาซื้อตึกไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การกันสำรอง 30%
นายพรรษิษฐ์ ภายหลังจากแก้ปัญหาสาธร ยูนิค สำเร็จ จะเริ่มซื้อโครงการเก่าของบริษัทจากสถาบันการเงิน มาพัฒนาต่อให้แล้วเสร็จ ซึ่งอาจต้องตัดขายที่ดินบางส่วน อย่างไรก็ตามการดำเนินงานต่อจากนี้จะต้องพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโครงการ บูลสกาย ทาวน์เวอร์ พัทยา มูลค่าถึง 17,000 ล้านบาทของนายรังสรรค์นั้น จะพัฒนาแบบโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากมีเงินลงทุนสูง โดยจะต้องพัฒนาในรูปแบบผสมผสาน เพื่อสร้างรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็ฯเงินลงทุน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
***แบงก์เคเคเชี้แก้หนี้ใกล้สรุป
นายธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ในโครงการสาธร ยูนีค ใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว เนื่องจากทางเจ้าหนี้และเจ้าหนี้การค้า ค่อนข้างเห็นพ้องที่จะดำเนินการให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นโครงการที่มีศักยภาพในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อาคาร
แหล่งข่าวในวงการกล่าวกับ กล่าวว่า โครงการสาธร ยูนีค ยังได้รับความสนใจจากบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด ได้จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) เพื่อลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท โดยกองทุนTHOS จะลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทในจำนวน 2 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารสาธร ยูนีค ที่เป็นโรงแรมและคอนโดฯในกรุงเทพฯ มูลค่า 4,055 ล้านบาท
" แม้ทางMFC จะมองเห็นถึงศักยภาพและโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่ากองทุนรวมอสังหาฯจากการเข้าไปลงทุนในโครงการสาธร ยูนีค แต่ปัญหาเยอะมาก โดยเฉพาะผู้ลงทุนกังวลเรื่องกันสำรอง 30% และปัญหาของผู้ลูกค้าเดิมของโครงการ ว่าจะรับข้อเสนอได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอาจจะมีผลในเชิงกฎหมายได้ "แหล่งข่าวกล่าว และยอมรับว่าโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งใจกลางศูนย์กลางธุรกิจ(ซีบีดี) และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ้าBTSสาทร ซึ่งในอนาคตแล้ว เมื่อมีการเปิดใช้บริการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าBTSสีลม-ฝั่งธนบุรี จะสามารถรองรับกำลังซื้อและความต้องการในการใช้บริการ ทำให้แนวโน้มมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น
สำหรับโครงการสาธร ยูนีค ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้วประมาณ 80-90% เหลืองานระบบและตกแต่ง ซึ่งตามแผนเดิมหลังจากสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะดำเนินการเป็นโรงแรมและจะมีการขายพื้นที่ในส่วนของชั้น 25-44 จากจำนวน47ชั้น ซึ่งจะผลดีในการสร้างผลตอบแทนให้แก่โครงการได้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราห้องพักเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000 บาทต่อคืน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยในส่วนของโรงแรมบริหารงานโดย Puravarna ทีมงานบริหารโรงแรมจากสเปน