“รมว.คลัง” คาดรู้ผลสำรอง 30% ก่อนโรดโชว์ญี่ปุ่น ทีมพี่เลี้ยงที่ปรึกษา “เลี้ยบ” เทรนด์ข้อมูลเต็มที่ 2 เดือน พร้อมแต่งตัวเป็นมืออาชีพ แจงนักลงทุนต่างชาติ “อดีต รมว.คลัง” ชี้ ต่างชาติกังวล พ.ร.บ.ต่างด้าว พร้อมแนะให้อิสระการทำงานแบงก์ชาติ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การพิจารณามาตรการกันสำรอง 30% ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีคงพูดเอาไว้เป็นกรอบในเบื้องต้นเท่านั้น หากจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาควรจะไม่เกินเท่าใด แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางด้านของข้อมูลจาก ธปท.
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลที่ทางกระทรวงการคลัง ขอให้ ธปท.กลับไปหาเพิ่มเติมนั้น เป็นข้อมูลที่ ธปท.จะต้องศึกษาอยู่บ้าง ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลา แต่ทางกระทรวงการคลังต้องการให้กลับมาเสนอโดยเร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าน่าจะพิจารณาได้ภายในเดือน มี.ค.-เม.ย.ก่อนการเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นของกระทรวงการคลัง
สำหรับการหารือกับ นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น สะท้อนความคิดเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นและนักวิชาการในระดับเวทีภูมิภาค เวทีระดับโลก ให้รัฐบาลได้รับทราบ เพราะนักลงทุนต่างชาติมีทางเลือกในการเข้าไปลงทุน ทั้งเวียดนาม อินเดีย ถ้าประเทศไทยไม่ชัดเจน นักลงทุนก็อาจหนีไปที่อื่น ขณะที่การจะแก้ไขกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหรือไม่ คงไม่ใช่เป็นการดูทีละเรื่อง แต่ต้องดูภาพรวมให้ชัดเจนก่อนดำเนินการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน
นายทนง กล่าวถึงการเดินทางมาในวันนี้ เพื่อแสดงความยินดีกับ นพ.สุรพงษ์ โดยตนเองยินดีที่จะเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติ และพร้อมให้คำปรึกษาในด้านเศรษฐกิจ แต่จะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ เนื่องจากไม่อยากอยู่ในวงการการเมือง
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า นพ.สุรพงษ์ เป็นบุคคลที่มีความสามารถ สมองดี และมีไหวพริบ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการหารือเรื่องมาตรการสำรอง 30% เพียงเล่าประสบการณ์ในสมัยที่นั่งบริหารกระทรวงการคลัง ไม่เคยมีปัญหากับ ธปท.และเห็นว่า ควรให้อิสระ ธปท.ทำงาน สำหรับความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่น เห็นว่า ประเทศไทยเมื่อมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแล้วจะรอดูว่าประเทศไทยจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการยกเลิกมาตรการสำรองเงิน 30% โดยระบุว่า ธปท.ก็คงมีกรอบระยะเวลาในใจอยู่แล้ว ซึ่งโดยหลักการแล้วการที่ประกาศตั้งมาตรการ หรือยกเลิกก็ไม่จำเป็นต้องประกาศล่วงหน้า เพราะจะทำให้เกิดความปั่นป่วนได้
