ผู้บริหาร ธปท.ยอมรับปี 50 ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจริง เหตุเงินบาทแข็งค่าถึง 7% แต่ยังมีผลกำไรถึง 2.2 หมื่นล้าน ชี้การออกพันธบัตร 5 แสนล้าน เพื่อทำเมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า 9 สาย ไม่กระทบการออกพันธบัตรของ ธปท.2.2 ล้านล้านบาท เพราะสภาพคล่องในระบบยังมีสูงมาก ส่วนการขาดทุน 9.4 หมื่นล้าน ในปี 49 ไม่เป็นความจริง เพราะค่าเงินบาทแข็งถึง 17%
วันนี้ (7 ก.พ.) นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยอมรับว่า ในช่วงปี 2550 ธปท.มีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจริง แต่ระดับผลขาดทุนลดลงจากปี 2549 เนื่องจากในปี 2550 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ปี 2549 แข็งค่าขึ้นประมาณ 17% และปีนี้เงินบาทไม่ได้แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการโดยรวมของ ธปท.มีกำไรถึง 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2550 (เป็นผลกำไรที่บันทึกบัญชีเป็นเงินสกุลดอลลาร์)
โดยในปีนี้ ธปท.มีโควตาออกพันธบัตร 2.2 ล้านล้านบาท และหากนับรวมทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน ธปท.มีการออกพันธบัตรไปแล้ว 1.35 ล้านล้านบาท
ส่วนการที่รัฐบาลมีแนวทางออกพันธบัตร 5 แสนล้านบาท เพื่อระดมทุนมาใช้ในโครงการรถไฟฟ้า 9 สายนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการออกพันธบัตรของ ธปท.เนื่องจากสภาพคล่องในระบบขณะนี้มีค่อนข้างสูง เห็นได้จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกพันธบัตรจำนวน 1.3 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ โครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ยังใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะต้องการระดมเงินทุนไปใช้ในการก่อสร้าง
นางอัจนา กล่าวถึงกระแสข่าว ธปท.ขาดทุนทางบัญชี 94,000 ล้านบาทนั้น ไม่เป็นความจริง โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขสิ้นปี 2549 เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐถึง 17% แต่ในปี 2550 ธปท.มีกำไร 22,000 ล้านบาท จากบัญชีฝ่ายออกบัตรและฝ่ายการเงิน เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพียง 7% และมีการกระจายสินทรัพย์ไปยังสกุลต่างๆ มากขึ้น จึงช่วยบรรเทาผลกระทบได้บ้าง
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า หากรัฐบาลจะออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนคงต้องพิจารณาถึงความต้องการใช้เงินด้วย แต่การออกพันธบัตรก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ออมเงิน
“การที่รัฐออกบอนด์เป็นการดูดเงินเข้าระบบ แล้วมาฝากกับ ธปท.ไว้ เมื่อเอาไปใช้ ก็เป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบ แต่หากมีปัญหา ธปท.ก็พร้อมปล่อยสภาพคล่องเข้าตลาด” นางสุชาดา กล่าว
