“วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” ประกาศปี 51 กลุ่มสามารถจะทำรายได้ 3 หมื่นล้านบาทเติบโตกว่า 50% ย้ำ ทุกวิกฤตย่อมเกิดโอกาสสำหรับผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินรู้จักเลือกธุรกิจและจังหวะในการลงทุนพร้อมชูกลยุทธ์ SMART นำธุรกิจกลุ่มสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในปี 2551 กลุ่มสามารถจะเน้นในเรื่อง Merging & Acquisition ในการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยทุกสายธุรกิจจะใช้กลยุทธ์หลักร่วมกัน คือ SMART Strategy ประกอบด้วย Synergy สร้างทีม สร้างพันธมิตร, Merging & Acquisition ทางลัดสู่ธุรกิจใหม่ที่มีอนาคต, Regional สร้างชื่อและรายได้ระดับภูมิภาคและ Technology คือ การขยายธุรกิจสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ
รวมทั้งจะเน้นในการสร้างแบรนด์ไอ-โมบาย ในต่างประเทศ โดยเรียกปีนี้ว่า เป็น Year of Smart Growth โดยมุ่งขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต หรือเป็นตลาดเฉพาะแบบนิชมาร์เก็ตที่มีผลกำไรสูง (Blue Ocean)
“ใครจะบอกว่าปีที่แล้วเผาหลอกปีนี้เผาจริง แต่ผมมองว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ ถึงแม้ปี 2550 รายได้กลุ่มสามารถจะพลาดเป้าไปบ้าง แต่ปีนี้ผลประกอบการของเราจะกลับมาเติบโตขึ้นกว่า 50%”
ท่ามกลางวิกฤตปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาการเมือง งบประมาณล่าช้าและจำกัด หรือปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพง ภาวะเงินเฟ้อ กำลังซื้อผู้บริโภคต่ำ ค่าเงินบาทแข็งและผลกระทบกรณีซับไพร์มทำให้ตลาดเงินตลาดทุนเกิดปัญหา
แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มสามารถอย่างโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอ-โมบาย ขายได้ 3.2 ล้านเครื่อง พฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลมีแนวโน้มสูง การขยายตัวของบรอดแบนด์ และ ไว-ไฟ รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจเอาต์ซอร์ส ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมาของกลุ่มสามารถฯมีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแซมเทล การพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อรอโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ และการเร่งสร้างแบรนด์ไอ-โมบาย ในระดับภูมิภาค รวมทั้งการสร้างผู้บริหารเลือดใหม่ (GEN S)
ปัจจัยที่ส่งผลบวกให้กลุ่มสามารถในปีนี้ ประกอบด้วย 1.ตลาดโทรศัพท์มือถือเติบโต 85-90% หรือจะมียอดขายรวม 10 ล้านเครื่องในประเทศ 2.การแข่งขันเฮาส์แบรนด์ลดลงอย่างมาก 3.ไอ-โมบาย เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค และ 4.ความร่วมมือของหน่วยงานรัฐกับเอกชนที่จะส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างทีโอทีกับเอไอเอสหรือกสทกับดีแทค
สำหรับปัจจัยที่จะสร้างให้เกิดความสำเร็จของกลุ่มสามารถฯ ประกอบด้วย 1.การเลือกตลาดให้ถูก ไม่ใช่มองแต่ตลาดที่มีการแข่งขันสูงแต่ต้องเลือกตลาดที่ให้กำไรสูง 2.ต้องเลือกโปรดักส์ให้ถูกอย่างโทรศัพท์มือถือต้องมีดีไซน์ใหม่ไฮเทค ต้องเลือกคอนเทนต์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ 3.ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมเช่นการลงทุนแอปพลิเคชั่นด้านนิวเคลียร์ และ 4.ต้องเลือกบุคลากรที่เหมาะสม
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสธุรกิจในอนาคต เช่น การเซ็นสัญญาความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติเพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีนิวเคลียร์, การพัฒนาคุณภาพบริการ Contact Center จนสามารถคว้ารางวัล Best Contact Center ในภูมิภาคเอเชียของบริษัท วันทูวัน, การดีไซน์มือถือไอ-โมบาย ให้มีความทันสมัย และ High tech, การปรับโครงการสร้างธุรกิจ ICT ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ, การขยายธุรกิจต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจมือถือ คอนเทนต์, ICT Outsourcing และอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 16.7% ในประเทศกัมพูชา ยังนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15.6% คิดเป็นรายได้ 20.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับบริษัท แอร์ทราฟิก เซอร์วิสเซส ซึ่งในปีที่ผ่านมายังได้รับการต่ออายุสัมปทานออกไปอีก 10 ปี รวมระยะเวลาสัมปทานที่เหลือทั้งสิ้นถึง 27 ปี
รวมทั้งบริษัท กัมปอต เพาเวอร์แพลนท์ ที่ได้ฤกษ์ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่โรงงานกัมปอตซีเมนต์ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยมีอายุสัญญา 10 ปี
ในปี 2551 กลุ่มสามารถตั้งเป้ารายได้ที่ 3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 40-50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งสัดส่วนรายได้แยกตามสายธุรกิจ ดังนี้
สาย Mobile Multi-media 21,000 ล้านบาท สาย ICT Solutions 5,000 ล้านบาท และสาย Technology Related 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มีการตั้งเป้าหมายของกลุ่มสามารถในอีก 3 ปีข้างหน้าว่าจะต้องมีรายได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท และมีกำไรให้ได้ถึง 1,000 ล้านบาท โดยมือถือไอ-โมบายจะต้องเป็นที่หนึ่งของ ASEAN Phone ด้วยยอดขาย 10 ล้านเครื่อง และ ICT Solutions จะต้องสร้างรายให้ได้ 10,000 ล้านบาท ในปี 2553 สำหรับธุรกิจปัจจุบันกลุ่มสามารถ ประกอบด้วย 3 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจ Mobile-Multimedia นำโดย บริษัท สามารถ ไอ-โมบายตั้งเป้ารายได้ปี 2551 ที่ 21,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 40% มียอดขายโทรศัพท์มือถือรวม 5 ล้านเครื่อง แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 3 ล้านเครื่อง และตลาดต่างประเทศ 2 ล้านเครื่อง เน้นกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ รวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ไอ-โมบาย ทั้งในและต่างประเทศ
หลังจากที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย, เวียดนาม, บังกลาเทศ, ลาว, กัมพูชา และอินเดีย แล้ว มาในปีนี้จะเริ่มเข้าไปเจาะในตลาดใหม่ๆ ในประเทศแถบตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง หรือกลุ่มประเทศ Soviet เดิม และประเทศออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้มั่นใจว่า ไอ-โมบาย จะขึ้นเป็น NO.1 ASEAN Phone ในตลาดต่างประเทศได้โดยมียอดจัดจำหน่ายถึง 10 ล้านเครื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า หลังจากได้รับการจัดอันดับในประเทศไทยให้ติด 1 ใน 10 แบรนด์คนไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภคมาแล้ว
โดยเตรียมค้นหา Brand Ambassador ในแต่ละประเทศภายใต้คาแรกเตอร์เดียวกัน ที่เป็นทั้งดาราที่มีชื่อเสียง และมีความสามารถหลายด้าน (Multi Talent) เพื่อชูความเป็น Mobile Multimedia ร่วมกับการรุกเพิ่มช่องทางในการขยายเครือข่ายจุดจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดยตั้งเป้าการมีช่องทางค้าปลีกทั่วภูมิภาคกว่า 620 จุด ภายในปีนี้
สาย ICT Solutions นำโดย บริษัท สามารถเทลคอม หรือ แซมเทล ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทางด้านไอทีและโทรคมนาคม ตั้งเป้ารายได้ปี 2551 ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าเท่าตัวเน้นตลาดภาคเอกชนมากขึ้น เพราะมีการขยายตัวถึง 8.9-9.0% มากกว่าภาครัฐที่มีเพียง 5.6-6.6% และมองธุรกิจที่มีสัญญา และสร้างรายได้ให้บริษัทในระยะยาว
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ารายได้จาก 5 สายงาน ได้แก่ ด้านบริการเครือข่าย หรือ Network Services โดยคาดว่า จะมีรายได้ทั้งปี ประมาณ 2,400 ล้านบาท, บริการด้าน System Integration แก่โครงการภาครัฐ ซึ่งปีนี้ คาดว่า จะมีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจ e-biz solutions, IT outsourcing และธุรกิจ IP อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท
ปัจจุบันสายธุรกิจ ICT มีโครงการที่มีอยู่ในมือแล้วกว่า 3,500 ล้านบาท เช่น โครงการเอเอ็มอาร์ โครงการ School Net Phase 2 โครงการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงระยะที่ 2 และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างประมูลอีกกว่า 10,000 ล้านบาท
สายธุรกิจ Technology Related ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,000 ล้านบาท จากบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านเสาอากาศ และจานดาวเทียม และบริษัท วิชั่นแอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม รวมทั้งธุรกิจใหม่ล่าสุดที่กลุ่มสามารถร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) รุกธุรกิจเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยมองความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมด้านอาหาร และอุตสาหกรรมด้านอัญมณี ตามลำดับ ซึ่งปีนี้จะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ และมีต่อมา คือ ปี 2552 จะเริ่มรับรู้รายได้ในธุรกิจอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ก่อน ที่รายได้ประมาณ 200 ล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในปี 2551 กลุ่มสามารถจะเน้นในเรื่อง Merging & Acquisition ในการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยทุกสายธุรกิจจะใช้กลยุทธ์หลักร่วมกัน คือ SMART Strategy ประกอบด้วย Synergy สร้างทีม สร้างพันธมิตร, Merging & Acquisition ทางลัดสู่ธุรกิจใหม่ที่มีอนาคต, Regional สร้างชื่อและรายได้ระดับภูมิภาคและ Technology คือ การขยายธุรกิจสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ
รวมทั้งจะเน้นในการสร้างแบรนด์ไอ-โมบาย ในต่างประเทศ โดยเรียกปีนี้ว่า เป็น Year of Smart Growth โดยมุ่งขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต หรือเป็นตลาดเฉพาะแบบนิชมาร์เก็ตที่มีผลกำไรสูง (Blue Ocean)
“ใครจะบอกว่าปีที่แล้วเผาหลอกปีนี้เผาจริง แต่ผมมองว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ ถึงแม้ปี 2550 รายได้กลุ่มสามารถจะพลาดเป้าไปบ้าง แต่ปีนี้ผลประกอบการของเราจะกลับมาเติบโตขึ้นกว่า 50%”
ท่ามกลางวิกฤตปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาการเมือง งบประมาณล่าช้าและจำกัด หรือปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพง ภาวะเงินเฟ้อ กำลังซื้อผู้บริโภคต่ำ ค่าเงินบาทแข็งและผลกระทบกรณีซับไพร์มทำให้ตลาดเงินตลาดทุนเกิดปัญหา
แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มสามารถอย่างโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอ-โมบาย ขายได้ 3.2 ล้านเครื่อง พฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลมีแนวโน้มสูง การขยายตัวของบรอดแบนด์ และ ไว-ไฟ รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจเอาต์ซอร์ส ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมาของกลุ่มสามารถฯมีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแซมเทล การพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อรอโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ และการเร่งสร้างแบรนด์ไอ-โมบาย ในระดับภูมิภาค รวมทั้งการสร้างผู้บริหารเลือดใหม่ (GEN S)
ปัจจัยที่ส่งผลบวกให้กลุ่มสามารถในปีนี้ ประกอบด้วย 1.ตลาดโทรศัพท์มือถือเติบโต 85-90% หรือจะมียอดขายรวม 10 ล้านเครื่องในประเทศ 2.การแข่งขันเฮาส์แบรนด์ลดลงอย่างมาก 3.ไอ-โมบาย เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค และ 4.ความร่วมมือของหน่วยงานรัฐกับเอกชนที่จะส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือระหว่างทีโอทีกับเอไอเอสหรือกสทกับดีแทค
สำหรับปัจจัยที่จะสร้างให้เกิดความสำเร็จของกลุ่มสามารถฯ ประกอบด้วย 1.การเลือกตลาดให้ถูก ไม่ใช่มองแต่ตลาดที่มีการแข่งขันสูงแต่ต้องเลือกตลาดที่ให้กำไรสูง 2.ต้องเลือกโปรดักส์ให้ถูกอย่างโทรศัพท์มือถือต้องมีดีไซน์ใหม่ไฮเทค ต้องเลือกคอนเทนต์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ 3.ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมเช่นการลงทุนแอปพลิเคชั่นด้านนิวเคลียร์ และ 4.ต้องเลือกบุคลากรที่เหมาะสม
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการคว้าโอกาสธุรกิจในอนาคต เช่น การเซ็นสัญญาความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติเพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีนิวเคลียร์, การพัฒนาคุณภาพบริการ Contact Center จนสามารถคว้ารางวัล Best Contact Center ในภูมิภาคเอเชียของบริษัท วันทูวัน, การดีไซน์มือถือไอ-โมบาย ให้มีความทันสมัย และ High tech, การปรับโครงการสร้างธุรกิจ ICT ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ, การขยายธุรกิจต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจมือถือ คอนเทนต์, ICT Outsourcing และอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 16.7% ในประเทศกัมพูชา ยังนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15.6% คิดเป็นรายได้ 20.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับบริษัท แอร์ทราฟิก เซอร์วิสเซส ซึ่งในปีที่ผ่านมายังได้รับการต่ออายุสัมปทานออกไปอีก 10 ปี รวมระยะเวลาสัมปทานที่เหลือทั้งสิ้นถึง 27 ปี
รวมทั้งบริษัท กัมปอต เพาเวอร์แพลนท์ ที่ได้ฤกษ์ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่โรงงานกัมปอตซีเมนต์ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยมีอายุสัญญา 10 ปี
ในปี 2551 กลุ่มสามารถตั้งเป้ารายได้ที่ 3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 40-50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งสัดส่วนรายได้แยกตามสายธุรกิจ ดังนี้
สาย Mobile Multi-media 21,000 ล้านบาท สาย ICT Solutions 5,000 ล้านบาท และสาย Technology Related 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มีการตั้งเป้าหมายของกลุ่มสามารถในอีก 3 ปีข้างหน้าว่าจะต้องมีรายได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท และมีกำไรให้ได้ถึง 1,000 ล้านบาท โดยมือถือไอ-โมบายจะต้องเป็นที่หนึ่งของ ASEAN Phone ด้วยยอดขาย 10 ล้านเครื่อง และ ICT Solutions จะต้องสร้างรายให้ได้ 10,000 ล้านบาท ในปี 2553 สำหรับธุรกิจปัจจุบันกลุ่มสามารถ ประกอบด้วย 3 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจ Mobile-Multimedia นำโดย บริษัท สามารถ ไอ-โมบายตั้งเป้ารายได้ปี 2551 ที่ 21,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 40% มียอดขายโทรศัพท์มือถือรวม 5 ล้านเครื่อง แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 3 ล้านเครื่อง และตลาดต่างประเทศ 2 ล้านเครื่อง เน้นกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ รวมทั้งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ไอ-โมบาย ทั้งในและต่างประเทศ
หลังจากที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย, เวียดนาม, บังกลาเทศ, ลาว, กัมพูชา และอินเดีย แล้ว มาในปีนี้จะเริ่มเข้าไปเจาะในตลาดใหม่ๆ ในประเทศแถบตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง หรือกลุ่มประเทศ Soviet เดิม และประเทศออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้มั่นใจว่า ไอ-โมบาย จะขึ้นเป็น NO.1 ASEAN Phone ในตลาดต่างประเทศได้โดยมียอดจัดจำหน่ายถึง 10 ล้านเครื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า หลังจากได้รับการจัดอันดับในประเทศไทยให้ติด 1 ใน 10 แบรนด์คนไทยที่อยู่ในใจผู้บริโภคมาแล้ว
โดยเตรียมค้นหา Brand Ambassador ในแต่ละประเทศภายใต้คาแรกเตอร์เดียวกัน ที่เป็นทั้งดาราที่มีชื่อเสียง และมีความสามารถหลายด้าน (Multi Talent) เพื่อชูความเป็น Mobile Multimedia ร่วมกับการรุกเพิ่มช่องทางในการขยายเครือข่ายจุดจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดยตั้งเป้าการมีช่องทางค้าปลีกทั่วภูมิภาคกว่า 620 จุด ภายในปีนี้
สาย ICT Solutions นำโดย บริษัท สามารถเทลคอม หรือ แซมเทล ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทางด้านไอทีและโทรคมนาคม ตั้งเป้ารายได้ปี 2551 ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าเท่าตัวเน้นตลาดภาคเอกชนมากขึ้น เพราะมีการขยายตัวถึง 8.9-9.0% มากกว่าภาครัฐที่มีเพียง 5.6-6.6% และมองธุรกิจที่มีสัญญา และสร้างรายได้ให้บริษัทในระยะยาว
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ารายได้จาก 5 สายงาน ได้แก่ ด้านบริการเครือข่าย หรือ Network Services โดยคาดว่า จะมีรายได้ทั้งปี ประมาณ 2,400 ล้านบาท, บริการด้าน System Integration แก่โครงการภาครัฐ ซึ่งปีนี้ คาดว่า จะมีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจ e-biz solutions, IT outsourcing และธุรกิจ IP อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท
ปัจจุบันสายธุรกิจ ICT มีโครงการที่มีอยู่ในมือแล้วกว่า 3,500 ล้านบาท เช่น โครงการเอเอ็มอาร์ โครงการ School Net Phase 2 โครงการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงระยะที่ 2 และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างประมูลอีกกว่า 10,000 ล้านบาท
สายธุรกิจ Technology Related ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,000 ล้านบาท จากบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านเสาอากาศ และจานดาวเทียม และบริษัท วิชั่นแอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม รวมทั้งธุรกิจใหม่ล่าสุดที่กลุ่มสามารถร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) รุกธุรกิจเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยมองความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมด้านอาหาร และอุตสาหกรรมด้านอัญมณี ตามลำดับ ซึ่งปีนี้จะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ และมีต่อมา คือ ปี 2552 จะเริ่มรับรู้รายได้ในธุรกิจอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ก่อน ที่รายได้ประมาณ 200 ล้านบาท