งานวิ่งมาตรฐานระดับโลก “บางแสน 21” ประกาศความสำเร็จ หลังจบปีที่ 10 ก้าวสู่ปีที่ 11 อย่างสมบูรณ์แบบด้วยมาตรฐานระดับ Platinum Label สู่การครองใจคนทั่วโลก เปิดแผนยุทธศาสตร์ในทศวรรษที่ 2 มุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่นักวิ่งทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต ภายใต้กลยุทธ์ Sport Tourism
นายรัฐ จิโรจน์วณิชชากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมซ์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด – Race Director เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่งานบางแสน 21 ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการคว้ามาตรฐาน Platinum Label จาก สหพันธ์กรีฑาโลก หรือ World Athletics ของการเป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอน แพลทินัม เลเบล รายแรกของโลก และเป็นรายเดียวในไทย บนชายหาดบางแสน จังหวัด ชลบุรี ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด สามารถยืนเคียงคู่กับ17 สนามมาราธอนทั่วโลกได้ในระดับ Platinum (World Marathon Majors & Others) อย่าง Boston Marathon, Berlin Marathon ,Tokyo Marathon, Marathon Chicago ฯลฯ ได้อย่างภาคภูมิใจในตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา
จนเมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 ถือว่าเป็นยุคที่ 2 เราไม่ได้มองแค่เรื่องมาตรฐานอีกต่อไป แต่กำลังมองว่าจะทำอย่างไรให้งาน บางแสน 21 เป็น “หมุดหมายที่นักวิ่งทั่วโลกต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต” โดยเราจะนำบางแสน 21 และประเทศไทยไปเชื่อมสู่มาราธอนโลก ผ่านทางเครือข่ายนักจัดงานวิ่งระดับโลก ตัวอย่าง บางแสน 21 ที่จัดขึ้น เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา เราได้รับเกียรติจาก Mark Milde ผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน (Race Director) รายการ BMW Berlin Marathon ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการมาราธอนที่ยิ่งใหญ่และเร็วสุดในโลก (World Marathon Majors) ที่ได้มาร่วมวิ่งประชันฝีเท้าในงานนี้ด้วย นับเป็นก้าวแห่งความสำคัญของการสร้างสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะในอนาคตจะมีการชักชวน และดึงดูดนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลกให้มาร่วมวิ่งในงานบางแสน 21 มากขึ้น ที่ไม่ใช่มีเฉพาะแค่นักวิ่งคนไทย และนักวิ่งชาวเอเชีย อีกต่อไป
นอกจากนี้เป็นปีที่ 3 ที่เราได้เซ็นสัญญาร่วมกับ Gifu Half Marathon (งานแข่งขันวิ่งฮาล์ฟมาราธอน) ระดับนานาชาติ ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเราเข้าใจถึงพฤติกกรมของคนไทยที่ชอบไปญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่นก็ชอบมาเมืองไทย เราจึงใช้ “งานวิ่ง” เป็นตัวเชื่อม (Connector) เพื่อเปลี่ยนจากการมาเที่ยว อย่างเดียว มาเป็นวิ่งพร้อมกับท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า Sport Tourism ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ของโลกใหม่ ที่เข้ามาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของผู้คนให้เป็นแบบ (Purpose-led Tourism) หรือ มีจุดมุ่งหมายมากขึ้น กล่าวคือ เปลี่ยนจากคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทย ให้กลายเป็น “วิ่งเพื่อเที่ยวไปด้วยกัน”ของทั้ง 2 ประเทศ
ก็เหมือนกับการเดินทางไปสิงคโปร์ เพื่อไปชมคอนเสิร์ต หรืองานเทศกาลศิลปะ ดนตรี ปัจจุบันงานวิ่งมาราธอนถือว่าเป็นหนึ่งใน “หมุดหมายหลัก” ของนักวิ่งยุคใหม่ ที่ได้หันมาวางแผนทริปท่องเที่ยวโดยมีรายการวิ่งเป็นตัวตั้ง นับว่าเป็นกลไกสำคัญในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ นักวิ่งไม่ได้เดินทางมาคนเดียว แต่จะมีครอบครัวหรือผู้ติดตามไปด้วย โดยขณะที่นักวิ่งกำลังมุ่งมั่นกับสนามวิ่ง ครอบครัวก็สามารถออกไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการสร้างวงจรเศรษฐกิจที่ใหญ่และมั่นคงขึ้นให้กับเมืองที่จัดงาน
เนื่องจาก ทิศทางในอีก 10 ปีข้างหน้าของบางแสน 21 คือ เราจะทำให้งานวิ่งไม่ใช่แค่เรื่องของกีฬา อีกต่อไป แต่จะทำให้เป็นไลฟ์สไตล์ที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกให้เข้ามาผ่านงานบางแสน 21 ภายใต้ธีมที่มีชื่อว่า “The Finest Runing Event Ever” หรือ “งานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่แสนสุขที่สุด” ด้วยการมุ่งเน้นขยายการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ออกไปมากขึ้น ตั้งแต่ระดับอาเซียน: มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์ เอเชียตะวันออก: จีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, ไต้หวัน ,อินเดีย ตลาดยุโรป: สหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง ที่จะมีการนำเสนอความสุขผ่าน Soft Power ของไทย ทั้งรอยยิ้ม ความมีอัธยาศัย การบริการที่ประทับใจ และอากาศที่เหมาะกับนักวิ่งที่ต้องการบินจากช่วงฤดูหนาวสุดติดลบ มารับแดดที่เมืองไทย
“โจทย์ที่ท้าทายสุดของกลุ่มยุโรปและอเมริกา คือ ถ้าจะดึงคนให้ยอมนั่งเครื่องบิน 12 -20 ชั่วโมง เพื่อมาวิ่งที่ไทย งานนั้นต้องมีความสำคัญระดับ “ครั้งหนึ่งในชีวิต” (Once in a Lifetime) เหมือนที่ผมยอมบิน 24 ชั่วโมง เพื่อไปวิ่งในงาน Boston Marathon ในฐานะที่เป็นสนามเก่าแก่ที่สุดในโลก ดังนั้น Bangsaen Series เราอาจสู้ด้วยความเก่าแก่ไม่ได้ แต่เราจะสู้ด้วย “เป้าหมายที่ชัดเจน” ว่าเป็น “งานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่แสนสุขที่สุด” ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะมีการสื่อสารออกไปภายใต้แบรนด์ใหม่คือ “บางแสนซีรีส์ (Bangsaen Series)ในปี 2569 ข้างหน้านี้ แทนชื่อเดิม ได้แก่ บางแสน 10 บางแสน21 และ บางแสน 42” รัฐ กล่าว
ขณะเดียวกัน จากการพูดคุย รัฐ ไม่ได้เพียงแต่เป็นผู้จัดงานวิ่ง แต่ยังเป็นผู้สร้าง Ecosystem ของการเป็นผู้จัดงานในระดับเอเชียผ่านงานสัมมนา Asia Road Race Forum (ARF): เวทีรวมตัวผู้จัดงานวิ่งระดับโลก 10 ประเทศอาเซียน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และฮ่องกง ซึ่งจะมาร่วมตัวกันเพื่อแบ่งปันความรู้ และเนื้อหาต่างๆ ที่มีมากกว่าการวิ่ง เช่น เรื่องการตลาด,เทคโนโลยี และความยั่งยืน (Sustainability) โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนให้แต่ละประเทศขึ้นเป็นวิทยากรเพื่อโชว์ศักยภาพ และเชิญวิทยากรจากงานระดับโลก (World Marathon Majors) เช่น เบอร์ลิน มาราธอน มาให้ความรู้ต่างๆ เพิ่มอีกด้วย
จากความสำเร็จปีแรกที่มีคนร่วม 50 คน สู่ปีที่ 4 ที่มีผู้จัดงานระดับโลกมาร่วมกว่า 120-150 คน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายสำคัญ (Destination) ของการเป็นผู้นำเชื่อมระหว่างประเทศไทย และทั่วโลกผ่านงานวิ่งมาราธอน ได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ รัฐ กล่าวว่า ในปี 2569 บริษัทเตรียมแผนจัดงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอน หาดใหญ่ 21 แบบ Sport Tourism โดยมีเป้าหมายต้องการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่หลังประสบภาวะวิกฤตน้ำท่วม ด้วยการวิ่งของนักวิ่งภาคใต้ และ มาเลเซีย เพื่อจะอาศัยพลังของโซเชียลมีเดียของนักวิ่งช่วยกันกระจายภาพว่า “เมืองกลับมาปกติแล้ว” ผ่านการกิน การเที่ยว และพักแรม เป็นต้น


