คอลัมน์ “TKO" โดย "น็อกเอาต์ แมน"
ต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาว่าปัจจุบันกำปั้นชาวต่างชาติต่างยกระดับฝีไม้ลายมือของตัวเองทั้งในมวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง เข้ามาเขย่าบัลลังก์ต้นตำรับจากแดนสยามเป็นว่าเล่น
ไม่ว่าจะในศึกใดก็ตามเราก็มักจะเห็นนักชกชาวต่างชาติเอาชนะคนไทยอยู่บ่อยครั้งในช่วงหลัง ทั้งที่เมื่อก่อนส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านั้นมักจะแพ้กระดูกมวยของคนไทย โดนอาวุธของคนไทยเล่นงานอยู่เป็นประจำ แต่สมัยนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
ล่าสุดในศึก RWS Japan ที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เข็มขัดมวยไทยเวทีราชดำเนินก็ตกเป็นของชาวต่างชาติอีกหนึ่งเส้น โดย ขุนศึกเล็ก บูมเด็กเซียน พ่ายน็อกให้กับ ริวกิ มาซึดะ นักชกเจ้าถิ่นในยกที่ 2 เสียแชมป์รุ่น 118 ปอนด์ พร้อมหยุดสถิติไร้พ่ายอันสวยหรูเอาไว้ที่ 41 ไฟต์
ขณะเดียวกัน นาดากะ เอวะสปอร์ตยิม อีกหนึ่งกำปั้นชาวญี่ปุ่น ก็ครองเข็มขัดแชมป์รุ่น 115 ปอนด์ อยู่แล้ว ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็เล่นงาน จอมโหด ออโต้มวยไทย ชนิดที่สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ป้องกันแชมป์เอาไว้ได้
ปัจจุบันวงการมวยไทยในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าแพร่หลายเป็นอย่างมาก นักกีฬาหลายคนมีโอกาสฝึกฝนแม่ไม้มวยไทยตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เพิ่งมาเริ่มหัดเอาตอนโตเหมือนสมัยก่อน แถมยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากครอบครัวอีกด้วย
สังคมในประเทศญี่ปุ่นการที่จะปั้นใครสักคนให้ก้าวขึ้นมามีฝีมือที่ยอดเยี่ยมในกีฬาการต่อสู้นั้น ไม่จำเป็นต้องมีสตอรีบ้านจน หรือถูกส่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวเพราะไม่มีทางเลือก ซึ่งจะแตกต่างจากประเทศไทยที่ตรงกันข้าม
กลับกันในแดนสยามนั้นจะเรียกได้ว่า มวยไทย เปรียบดั่งสิ่งสุดท้ายในระบบห่วงโซ่อาหารที่พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือชาวบ้านตาสีตาสา จะส่งลูกไปเรียนถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ สตอรีของนักมวยไทยหลายคนมักเติบโตมาจากต่างจังหวัดที่ฐานะทางบ้านที่ไม่ดี ต่อยมวยตั้งแต่เด็กเพราะต้องการหารายได้มาช่วยครอบครัวอีกแรง แทบไม่มีบ้านไหนที่ตัดสินใจเป็นอันดับแรกว่าจะส่งลูกไปเรียนมวยไทย เพื่อเป้าหมายเติบโตมาเป็นนักสู้อาชีพ
แต่ปัจจุบันที่ญี่ปุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองที่ส่งลูกเรียนศิลปะการต่อสู้ ทั้ง มวยไทย, คิกบ็อกซิ่ง หรือคาราเต้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่บ้านมีฐานะทั้งสิ้น ไม่ได้ปากกัดตีนถีบเหมือนครอบครัวในไทย ทำให้ช่วงหลังเราจะเห็นนักสู้จากญี่ปุ่นก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศ, ทวีป หรือของโลก
"เสี่ยโบ๊ท" ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์ชื่อดังจากค่ายมวยเพชรยินดี ก็แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยเจ้าตัวยืนยันว่าปัจจุบันนักมวยชาวไทยแทบจะสู้ชาวต่างชาติไม่ได้แล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมวยไทยกำลังเป็นที่แพร่หลายไปยังระดับโลก แถมเทรนเนอร์ชาวไทยก็ถูกส่งออกให้ไปเผยแพร่ศิลปะแม่ไม้มวยไทยถึงต่างประเทศ เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น พ่อแม่ผู้ปกครองก็พร้อมสนับสนุนลูกหลานอย่างเต็มที่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักสู้ในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยจาก ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ อีกว่า ปัจจุบัน ญี่ปุ่น มีการจ่ายเงินจ้างโปรโมเตอร์ให้เอาลูกตัวเองไปชกในรายการต่างๆ บางรายการมีการจัดชกมวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง วันละ 100 คู่ เขาเก็บเงินค่าขึ้นรายการคนละราวๆ 5,000 บาท ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองคนญี่ปุ่นเขาพร้อมสนับสนุนตรงนี้อย่างเต็มที่ เงินจำนวนนี้ไม่ได้เป็นจำนวนที่เยอะแยะอะไรมากมายสำหรับเขา ทำให้ปัจจุบัน ญี่ปุ่น มีนักสู้หน้าใหม่ที่ก้าวขึ้นมามากมายในแต่ละปี
เรื่องนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าคนญี่ปุ่นถ้ามุ่งมั่นตั้งใจจะทำอะไร เขาก็จะต้องทำให้ได้ อย่างโปรเจกต์การปั้นยอดนักสู้ให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปของโลก เขาก็กำลังทำอยู่ ไม่เพียงแต่มวยไทย แต่รวมถึงทั้งมวยสากลที่ปัจจุบัน นาโอยะ อิโนะอุเอะ ก็กำลังครองความยิ่งใหญ่เป็นแชมป์ 4 สถาบัน
หลังจากนี้ถ้าหากคนไทยยังต่อยมวยไทยในสไตล์เดิมๆ ต่อยเพียงแค่ประคองไปแต่ละยก เอาแค่ว่าทรงมวยดูดีกว่าคู่แข่งตามแบบฉบับของมวยไทย 5 ยกที่เคยชกกันมา เวลาไปต่อยรายการระดับโลกคงไม่สามารถต่อกรกับนักสู้ชาวต่างชาติ หรือชาวญี่ปุ่นได้
ที่ทราบมาคือเวลานี้ ญี่ปุ่น กำลังปั้นนักชกในรุ่นที่ใหญ่ขึ้น ให้ก้าวมาเขย่าบัลลังก์แชมป์มวยไทยให้ได้ แชมป์รุ่นเล็กทั้ง 115 ปอนด์ และ 118 ปอนด์ ของเวทีมวยราชดำเนินพวกเขาก็ได้เข็มขัดไปแล้ว หลังจากนี้รุ่นใหญ่กว่านั้นก็คงไม่คณามือ