คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
สัปดาห์นี้อาจจะเน้นหนักประเด็นการเมืองสักนิดหนึ่ง ไม่ได้สะเออะจะทาบชั้นรายการวันศุกร์ เพราะผมคงไม่มีความรู้ถึงระดับนั้น กรุณาอย่าผลักไสไล่ส่งผม ไปชู 3 นิ้ว หรือยัดเยียดข้อหาเป็นสลิ่ม เพราะตัวผมเองไม่ได้ฝักใฝ่ทั้ง 2 ฝ่ายด้วยความสัตย์จริง เพียงแต่อยากระบายตามประสาคนไทย ที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับแถลงการณ์ประมาณ 1-2 วันก่อน
ช่วงค่ำวันจันทร์ (10 ต.ค.) ได้มีการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทรท.) ไทย คลอดกำหนดเปิดประเทศ วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ หากมองแง่ดีเราจะเห็นว่า จะเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะธุรกิจนี้ขาดแคลนรายได้มานานกว่า 1 ปี ยกตัวอย่าง ย่านถนนข้าวสาร บรรยากาศทุกวันนี้ช่างเงียบเหงา ธุรกิจ Hostel, Guesthouse หรือโรงแรมก็ปิดตายมานาน แต่ทางกลับกัน เรายังไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบปกติสักเท่าไหร่
ทุกวันนี้เรายังอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และต้องกลับบ้านก่อนเวลา 4 ทุ่มตรง เรายังออกตระเวนราตรีกันไม่ได้ ดื่มกินสังสรรค์เคล้าเสียงดนตรีสดไม่ได้ คอนเสิร์ตยังต้องดูแบบออนไลน์ หรือไลฟ์สดผ่านแพลตฟอร์ม โซเชียล มีเดีย แม้กระทั่งการแข่งขันกีฬาฟุตบอล เราอนุญาตให้แฟนๆ เข้ามาชมราว 25 เปอร์เซ็นต์ของความจุสนาม และ โมโต จีพี ถูกยกเลิกมา 2 ปีติด
ตัวแปรสำคัญของการเปิดประเทศ ย่อมพิจารณาจากสถิติคนได้รับวัคซีนเข็มแรก หรือครบโดสแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่บ่งชี้ว่า เพราะเหตุใด ฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ สามารถเปิดให้แฟนๆ เข้ามาชมที่สนามเต็มความจุ หากพิจารณาตัวเลขผู้ได้รับวัคซีน 1 โดสสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ และครบโดสสูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ หรือ อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ที่มีผู้ชมนับหมื่นคนต่อเกม นั่นก็เพราะ สหรัฐอเมริกา ดำเนินการฉีดวัคซีนโดสแรกเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ และครบโดสมากกว่า 55 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ตัวเลขผู้ฉีดวัคซีน อย่างน้อยมันก็เพียงพอสำหรับสร้างความมั่นใจแก่รัฐบาลว่า ผู้เสียชีวิต หรือเจ็บป่วยขั้นรุนแรงจาก โควิด-19 อันจะนำไปสู่การลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ แต่พอพิจารณาตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนของไทย 1 โดส ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และครบโดสแค่ราวๆ 35 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันเปิดประเทศ แต่ผมก็ยังเกิดความรู้สึกข้องใจว่า ไทย พร้อมจริงหรือ?
ความจริง ผมไม่ได้คัดค้านนโยบายต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ก็ต้องกระทำแบบเป็นขั้นตอน วันนี้เรายังติดกันหลักหมื่น ส่วนตัวผมเชื่อว่า อย่าพูดถึงนักท่องเที่ยวเลย คนไทยเองก็คงไม่มั่นใจสำหรับการเดินทางข้ามจังหวัด ตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนยังอยู่ระดับต่ำเทียบกับ ประเทศอังกฤษ หรือ สหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว สามารถชมการแข่งขันกีฬาในสนามได้ ภายใต้เงื่อนไขการป้องกัน โควิด-19 หรือแม้กระทั่งผับบาร์ต่างๆ
นอกเหนือจาก วัคซีน ชาวไทยอาจต้องหาซื้อเครื่องมือตรวจเชื้อด้วยตัวเองในราคาหลักร้อย ผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่อาชีพใคร แต่ถ้าคุณมีรายได้น้อย วันละไม่กี่ร้อยบาท และหน้าที่การงานต้องคลุกคลีคนหมู่มาก คุณจะซื้อ ATK มาตรวจเองทุกวัน ก่อนออกไปทำงานหรือเปล่า แม้กระทั่งทุกวันนี้ หลายๆ คนรวมถึงตัวผมยังละเลยการเช็คอินสถานที่ต่างๆ อีกทั้ง ยาฟ้าทลายโจร ก็ไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างที่ควรจะเป็นตามประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยในเรือนจำ
การบริการสาธารณสุขของเราก็ใช่ย่อย ผู้ป่วยไม่น้อยรอรถพยาบาลกระทั่งเสียชีวิตคาบ้าน หรือออกมาตายอย่างน่าอนาถตามท้องถนน จำนวนเตียงไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยวันหนึ่งราว 10,000-20,000 คน และอย่าลืมเสียว่า สาเหตุจากการระบาดเที่ยวล่าสุด เกิดจากประชาชนเดินทางกลับบ้านช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้วยบทเรียนเช่นนี้ ผมไม่มั่นใจเลยว่า การเปิดประเทศจะประสบความสำเร็จ
ถึงเวลานี้เทศกาลลอยกระทง, คริสต์มาส และขึ้นปีใหม่ รออยู่ ผมไม่กล้าจะคิดว่า รัฐบาลถูกกดดันจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะพวกเขาขาดแคลนรายได้มานาน บวกกับความกดดันต่อตัวเองที่สร้างขึ้นมาว่า จะต้องเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน หากรัฐบาลทำไม่ได้ ก็จะถูกครหาทันทีว่า ล้มเหลวด้านบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 การแจกจ่ายวัคซีนไปยังโรงเรียนต่างๆ เป็นการกระตุ้นยอดผู้ฉีดวัคซีน นำไปสู่การเปิดประเทศ และยิ่งใกล้เวลาเลือกตั้ง ด้วยความอยากอยู่ต่อ ย่อมจะต้องสร้างความนิยมต่อตัวเอง แต่มันก็ดูเสี่ยงต่อความพินาศฉิบหายระยะยาว