เมืองไทย 360 องศา
ต้องยอมรับความจริงว่าการประกาศเปิดประเทศของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1พฤศจิกายนเป็นต้นไป ได้เรียกเสียงฮือฮา เสียงวิจารณ์ออกมาอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจหรือฟังจากเสียงที่สะท้อนกลับมาแล้วก็ต้องยอมรับว่า “เสียงสนับสนุน” มากกว่าเสียงคัดค้าน
“วันนี้ ผมได้สั่งการให้ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณาโดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่เรากําหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ”
พร้อมกันนี้ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่
“ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้ มีความเสี่ยงที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาส ในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป”
นั่นเป็นคำแถลงตอนหนึ่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อตอนค่ำวันที่ 11ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่เกี่ยวกับการ“เปิดประเทศ” ภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่ต้องการรักษาความสมดุลย์ทั้งการควบคุมโรคและการเดินหน้าทางเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าสำหรับฝ่ายตรงข้ามหรือพวก “กองแช่ง” ทั้งหลายคงไม่แฮปปี้แน่นอน เพราะเริ่มจากความผิดหวังแรกที่คิดมโนไปไกลว่าอาจจะเป็นการแถลง “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ก็ “ยุบสภา” ไปโน่น
อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นการแถลงเรื่องการ “เปิดประเทศ”ในวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป มันก็ย่อมผิดหวังสำหรับคนกลุ่มนี้ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะพวกเขาคงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะนั่นเท่ากับว่ารัฐบาลสามารถควบคุมโรคระบาดโควิดให้อยู่ในวงจำกัด อีกทั้งหากสามารถเปิดให้เศรษฐกิจเดินหน้า มีการเปิดรับนักท่องเที่ยว การทำมาค้าขายภายในประเทศกลับมาอีกครั้ง มันก็เหมือนกับว่า รัฐบาลสามารถเดินไปตามเป้าหมาย
ก่อนหน้านี้หากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ ประกาศจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน โดยประกาศเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่ก็ยังถกเถียงกันอีกว่าจะเริ่มนับตั้งแต่วันไหน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มให้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกกฎาคม มาแล้ว รวมไปถึงมีการขยายพื้นที่แบบจำกัด เช่น สมุยพลัส รวมถึงบางพื้นที่ในจังหวัดพังงา เป็นต้น จากนั้นในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ก็จะมีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกในหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่การท่องเที่ยว
ดังนั้น การเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ก็ถือว่าดำเนินการไปตามที่เคยกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ภายใน 120 วัน โดยหากย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นการประกาศดังกล่าวได้รับเสียงโจมตีอย่างรุนแรงจากรอบทิศ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นบังเอิญว่าประเทศไทยกำลังกลับมาอยู่ในการระบาดระลอกที่สาม ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเป็นตัวเลข “หลักสองหมื่นกว่า” อย่างต่อเนื่อง ยอดผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนต่อวัน
ในตอนแรกยังคิดว่าโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ซึ่งถือว่าเป็นโครงการนำร่อง น่าจะพับไปแล้ว เหมือนกับบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ที่ต้องพับโครงการ “เปิดเกาะบาหลี” ในตอนนั้นออกไป แต่ในที่สุดแม้ว่าประเทศไทยยังเผชิญกับโรคระบาด ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในระดับหมื่นคน ที่ถือว่า “เริ่มทรงตัว” แต่ที่น่าสนใจก็คือตัวเลขผู้เสียชีวิตเริ่มลดลงเรื่อยๆ เหลือ “ต่ำกว่าร้อยราย” แล้ว
แน่นอนว่าตัวเลขที่ลดลงดังกล่าวนี้ส่วนสำคัญน่าจะมาจากยอดการฉีดวัคซีนที่เป็นไปได้ตามเป้าหมาย ที่เวลานี้มีผู้ได้รับการฉีดเกินกว่าร้อยละ 50 แล้ว และเป้าหมายให้ได้ร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ก็คงไม่น่ามีปัญหา เพราะมีรายงานและคำยืนยันจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ในสิ้นปีนี้ไทยจะมีวัคซีนจำนวนไม่น้อยกว่า 170 ล้านโดส ซึ่งถือว่า “เกินเป้า” และจะด้วยเหตุนี้ด้วยหรือเปล่าทำให้เกิดความมั่นใจและมีการประกาศเปิดประเทศในเดือนหน้า
แม้ว่ายังมีความเสี่ยงจากเชื้อโควิดที่ยังระบาดทั่วโลก และประเทศก็ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันหลักหมื่นคน และเสียชีวิตยังเกือบร้อยราย แต่ก็มีแนวโน้มทรงตัวและลดลง ส่วนสำคัญนอกเหนือจากการระวังป้องกันของคนส่วนใหญ่แล้วก็มาจากตัวเลขการฉีดวัคซีนที่เริ่มครอบคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ
เอาเป็นว่าเวลานี้ถือว่ามีแนวโน้มดี และใช้วิธีอยู่ร่วมกับโควิด เพราะคงไม่อาจล็อกดาวน์ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ได้ จึงต้องรักษาความสมดุลย์เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้า ซึ่งเมื่อประเมินจากเสียงส่วนใหญ่ก็ล้วนตอบรับมากกว่าเสียงด่า และพร้อมรับกับสถานการณ์ใหม่ อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งก็ย่อมมี “ฝ่ายที่ไม่แฮปปี้” ซึ่งก็ย่อมเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือ “กองแช่ง” ดังกล่าว ที่ต้องออกมาวิจารณ์กันอีกรอบและเสี่ยงกับอาการ “อกแตกตาย” ก็ได้หากทุกอย่างเดินหน้าเข้าเป้าและเป็นขั้นเป็นตอนนับจากนี้ !!