มีใครจินตนาการชีวิตของตัวเองกันออกบ้างไหมว่าเมื่อถึงตอนอายุ 53 เราจะทำอะไรกันอยู่ ชีวิตตอนนั้นจะเป็นอย่างไร บางคนอาจนั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือบนเก้าอี้อย่างสบายใจ อยู่บ้านเลี้ยงลูกหลาน มีความสุขกับการใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตเพื่อซื้อของสนองความต้องการ ฯลฯ แต่สำหรับ คาซูโยชิ มิอุระ วัย 53 ปี เขายังคงทำในสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานตลอดมานั่นคือการประกอบอาชีพ “นักฟุตบอล”
วันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา คาซูโยชิ มิอุระ สะบัดปากกาต่อสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ โยโกฮาม่า เอฟซี ทีมแห่งศึก เจ-ลีก ญี่ปุ่น ซึ่งหมายความว่า มิอุระ ที่จะมีอายุครบ 54 ปี ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นี้ เขาจะลงสนามเตะฟุตบอลอาชีพในฐานะผู้เล่นที่อาวุโสที่สุดของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น และของโลก อันเป็นวันเดียวกับที่เกมลีกระดับสูงสุดของแดนปลาดิบ ซีซั่นใหม่เปิดฉากพอดิบพอดี
“แรงบันดาลใจและความกระหายที่จะเล่นฟุตบอล สำหรับผมมันมีแต่เพิ่มขึ้น ไม่เคยลดลง” มิอุระ หรือที่รู้จักกันในสมญา “คิง คาซู” เปิดใจหลังต่อสัญญาฉบับใหม่
ก่อนหน้านี้ ชายผู้ดำรงตำแหน่งนักเตะอาวุโสที่สุดแห่งเจ-ลีก คือ มาซาชิ นากายามะ ที่ลงเตะให้กับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่ เมื่อปี 2012 ด้วยวัย 45 ปี 2 เดือน 1 วัน แต่การสะบัดหมึกรอบล่าสุดของ คาซูโยชิ มิอุระ กลายเป็นเจ้าของสถิติใหม่ในบัดดลด้วยอายุ 53 ปี 6 เดือน และ 28 วัน
ศึกเจ-ลีก ซีซั่นที่ผ่านมา คาซูโยชิ มิอุระ ลงสนามไปแค่ 4 เกมกับทีม โยโกฮาม่า เอฟซี เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ญี่ปุ่น ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก รวมถึง มิอุระ ที่อดฉายศักยภาพของตัวเองบนฟลอร์หญ้าด้วย ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลให้ “คิง คาซู” รู้สึกค้างคาและมีไฟอย่างเต็มเปี่ยมที่จะลงไล่หวดฟุตบอลให้ได้ในซีซั่นใหม่นี้
เด็กรุ่นใหม่อาจตั้งแง่กับ คาซูโยชิ มิอุระ ทำนองว่าที่ยังไม่เลิกเล่นเพราะดื้อรั้น หรือกระหายที่จะเป็นเจ้าของสถิติโลกในวงการฟุตบอล ทว่าเมื่อพิจารณาลึกลงไป มิอุระ พิสูจน์แล้วว่าเขารักฟุตบอลจริงๆ ถึงขั้นยอมตื่นแต่เช้ามาออกกำลัง ฟิตร่างกายร่วมกับนักเตะพลังหนุ่มที่มีอยู่เต็มทีม พร้อมกับเฝ้ารอโอกาสลงสนาม ซึ่งเมื่อได้ลงสนามจริงก็ทำได้ดี ยิงประตูได้ ไม่ทำตัวเกะกะหรือเป็นตัวถ่วงคนอื่น
มีคำถามหนึ่งที่ คาซูโยชิ มิอุระ ถูกสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างชาติถามประจำคือ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวยังบ้าเตะฟุตบอลจนถึงตอนนี้ ทั้งที่หากเป็นคนอื่นก็คงเกษียนไปใช้ชีวิตอยู่บ้านกันหมดแล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็แสนจะเรียบง่ายเสียนี่กระไร “ก็เพราะว่าผมรักที่จะเล่นฟุตบอลไง เผลอๆ ตอนนี้ผมจะรักมันมากกว่าตอนที่ผมค้าแข้งอยู่ในบราซิลอีกต่างหาก”
คาซูโยชิ มิอุระ มีเส้นทางชีวิตลูกหนังไม่เหมือนนักเตะญี่ปุ่นคนอื่น ปี 1982 อันเป็นช่วงเวลาที่ฟุตบอล เจ-ลีก ยังไม่กำเนิด เด็กชายมิอุระ วัยเพียง 15 ปี ตัดสินใจบินไปที่บราซิล โดยใช้ทักษะลูกหนังที่มีติดตัวเป็นเดิมพัน และเขาชนะเดิมพันนั้นด้วยการเซ็นสัญญาเป็นแข้งอาชีพกับ ซานโตส และพัลไมรัส สองทีมดังระดับประเทศ สั่งสมประสบการณ์และวิชาลูกหนังแก่ตนเอง ก่อนย้ายกลับมาญี่ปุ่น หลังฟุตบอลลีกในประเทศถือกำเนิดขึ้นแล้ว
“คิง คาซู” กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการฟุตบอลแดนปลาดิบเมื่อพา โตเกียว แวร์ดี หรือปัจจุบันคือ คาวาซากิ แวร์ดี คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 4 สมัย และบอลถ้วยในประเทศมากมายที่เกิดขึ้นในยุค 90 ก่อนโบยบินไปเล่นในลีกยุโรปอย่าง เจนัว ที่อิตาลี และ ดินาโม ซาเกร็บ ที่โครเอเชีย แล้ววนกลับมาเล่นในลีกบ้านเกิดจนถึงปัจจุบัน
กระนั้นส่วนของทีมชาติญี่ปุ่น คาซูโยชิ มิอุระ ถือว่าเป็นนักเตะอาภัพโชคคนหนึ่ง 10 ปีที่รับใช้ชาติ ยิงประตูไป 55 เม็ดจาก 89 เกมที่ลงแข่งขัน แต่ไม่มีวาสนาได้จารึกชื่อตัวเองในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยปี 1994 ยิงไป 13 ประตู แต่ผลงานรอบคัดเลือกไม่ดีพอจน “ซามูไร บลูส์” ไม่ผ่านการคัดเลือกไปเตะที่สหรัฐอเมริกา ส่วนปี 1998 ญี่ปุ่น ได้ไปบอลโลกที่ฝรั่งเศส ซึ่งเจ้าตัวซัดไป 14 ประตูในรอบคัดเลือก แต่สุดท้ายมีปัญหากับกุนซือ ทาเคชิ โอกาดะ จนไม่มีชื่อติดทีมชุดใหญ่ และเลิกเล่นทีมชาติแบบเจ็บปวด
แม้เกียรติยศระดับชาติอาจเป็นจุดด่างพร้อย แต่สำหรับเกมอาชีพ “คิง คาซู” ยังมุ่งมั่น ดูแลตัวเอง และพร้อมลงสนามเช่นเดิม ซึ่งศึกฟุตบอล เจ-ลีก ซีซั่นที่ 36 ในการเล่นอาชีพของ คาซูโยชิ มิอุระ แม้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงเล่นกี่เกม หรือยิงประตูได้หรือไม่ ทว่าสิ่งที่เจ้าตัวจะแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างเต็มที่เหมือนที่ผ่านมาก็คือ วิ่งไล่บอลในสนามทุกครั้งที่มีโอกาส ด้วยความรักในฟุตบอลที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ต่อให้โลกเราตอนนี้มีปัญหากับการรับมือเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปสำหรับผมก็คือความรักในกีฬาฟุตบอล มันไม่มีวันลดลง และผมก็มีความสุขเสมอที่ได้ทำในสิ่งที่รัก” คิง คาซู ปิดประโยคตามสไตล์