คอลัมน์ สกอร์บอร์ด โดย แมวดำ
เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมานานแล้วสำหรับแนวความคิดที่จะให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่ มุ่งมั่นกับการแข่งขันระดับเอเชีย และนานาชาติ มากกว่ารายการในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ซีเกมส์ และ ชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทีมช้างศึกจะผูกขาดความยิ่งใหญ่ระดับอาเซียน แต่เมื่อไปแข่งขันกับทีมระดับเอเชีย ก็มักได้ผลการแข่งขันที่ไม่ค่อยสวยสดโสภากลับมาแทบทุกครั้ง
ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้แนวความคิดการส่งทีมชุดเล็ก หรือชุดผู้เล่นอายุน้อยไปแข่งขันชิงแชมป์อาเซียน จะเป็นจริงได้ในปี 2020 นี่เอง เนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือ เอเอฟเอฟ ไม่ได้ประกาศเลื่อนการแข่งขันรายการนี้ออกไป แม้มีไวรัสระบาดก็ตาม ทำให้ทุกทีมต้องเตรียมส่งเข้าไปชิงแชมป์อาเซียนกันในระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2563
ขณะที่ฟุตบอลไทยลีก 2020 ที่แข่งขันกันไปได้แค่ 4 นัด นั้นจะกลับมาแข่งขันได้อีกครั้งก็เดือนกันยายน และจะปิดฤดูกาลเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งไม่ได้มีการพูดถึงการยกเลิกฟุตบอลถ้วย 2 รายการทั้ง เอฟเอ คัพ และ ลีกคัพ หากมองในแง่ดีเราก็จะได้ขยับโปรแกรมไทยลีกหนีช่วงฤดูกาลแห่งฝนฟ้าไปได้เสียที เพราะนอกจากนักฟุตบอลและทีมงานจะไม่สนุกกับการวิ่งไล่หวดลูกบอลกลางสนามท่ามกลางสภาพฝนฟ้าถล่มของเมืองไทยแล้ว สโมสรที่เป็นเจ้าบ้านก็ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าจะมีฝนถล่มจนทำให้สภาพสนามแข่งขันกันไม่ได้ หรือไม่ รวมถึงต้องระวังไม่ให้มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับอีกด้วย ขณะที่แฟนบอลก็ไม่ลำบากลำบนทนเชียร์กลางสายฝน จนอาจได้ไวรัสเป็นของแถมกลับไปฝากครอบครัวอีก
ส่วนแง่ร้ายที่น่าจะชัดเจนเป็นอย่างยิ่งคือนักฟุตบอลไทยที่ฝีเท้าดีพอจะติดทีมชาติชุดใหญ่น่าจะกรำศึกหนักทั้งในไทยลีก และเจลีก ค่อนข้างแน่นอน เมื่อทีมชาติไทยชุดที่ดีที่สุดไม่พร้อม ก็ต้องมองมาที่ทีมอายุไม่เกิน 23 ปี ที่เคยคิดว่าน่าจะได้ไปซูซูกิคัพ ปรากฎว่าพอไล่เรียงรายชื่อกันดูจริงๆ ต่างก็ล้วนเป็นผู้เล่นตัวหลักของแต่ละสโมสรทั้งนั้นเหมือนกัน
จึงเกิดแนวความคิดที่ว่า หากเป็นเช่นนั้นเราก็ส่งชุดที่เล็กกว่านั้น ซึ่งก็คงจะเป็นทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 19 ปี ไปแข่งขันแทน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่คิดกันเล่นๆ ขำๆ เพราะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลฯ ก็ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้เช่นกัน สิ่งสำคัญต้องมองว่าเราส่งผู่เล่นระดับนี้ไปเพื่อเรียนรู้ และเพิ่มประสบการณ์ระดับนานาชาติ ดังนั้นเรื่องผลงานการแข่งขันก็ต้องทำใจเช่นกัน
เรื่องน่าเสียดายที่สุดสำหรับทีมชาติไทย หากไม่ได้ส่งชุดใหญ่ไปส่วนตัวคิดว่าคงมีแค่สถิติของ "มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าวัย 31 ปีเท่านั้น เพราะหัวหอกทีมชิมิสุ เอสพัลส์ แห่งเจลีก ถือว่าถูกโฉลกกับฟุตบอลรายการนี้มาก ด้วยเคยคว้าตำแหน่งดาวซัลโวมาได้ถึง 3 ครั้ง ประกอบด้วยปี 2008 (ยิง 4 ประตู), 2012 (ยิง 5 ประตู), 2016 (ยิง 6 ประตู)
โดยจำนวนประตูที่ ธีรศิลป์ ทำได้ในเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ รวมกันถึง 15 ประตู เท่ากับ "โค้ชโย่ง" วรวุฒิ ศรีมะฆะ และ เล คง วิน แห่งทีมชาติเวียดนาม แต่ก็ยังน้อยกว่า นอห์ อลัม ชาห์ จากทีมชาติสิงคโปร์ ที่ทำได้สูงสุดคือ 17 ประตู ซึ่งน่าเสียดายแทนเหมือนกัน แต่ผมว่า "เทพมุ้ย" ของเราเขาคงไม่เศร้าเสียใจหรอก ในเมื่อมีสิ่งดีงามในชีวิตมาทดแทนให้แล้ว ก็ "น้องมาร์คัส" ลูกชายคนที่ 2 ที่เพิ่งคลอดนั่นไง...