คอลัมน์ สกอร์บอร์ด โดย แมวดำ
ช่วงปีสุดท้ายวาระแรกในการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง มีข่าวลือต่างๆ นานา ว่าเจ้าตัวอาจจะไม่ลงสมัครในวาระ 2 หลังครบ 4 ปี และอยู่ระหว่างหาตัวตายตัวแทนมารับไม้ต่อ ทว่าก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาแทนได้ สุดท้ายเราเลยได้เห็น การบริหารงานต่อในวาระ 2 ของนายกสมาคม พร้อมทีมงานหน้าเดิม จะมีปรับเปลี่ยนก็เฉพาะตำแหน่งเลขาธิการสมาคมที่ "เสี่ยแชมป์" กรวีร์ ปริศนานันทกุล ขอลาออก เนื่องจากเกรงจะขัดกับระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พร้อมเปิดทางให้ พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาฯ คว้าเก้าอี้ตัวนี้ไปแทน
โดยผลงาน 4 ปีแรก ที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับคือการสร้างโค้ชครับ ย้อนไปก่อนที่ "บิ๊กอ๊อด" จะเข้ามารับตำแหน่ง ตอนนั้นประเทศไทยมีโค้ชคนไทยที่มีไลเซนสูงสุด "เอ ไลเซนส์" เพียงแค่ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ คนเดียวเท่านั้น ทว่าระหว่างปี 2559-2562 ได้มีการเปิดคอร์สอบรมโค้ชหลักสูตรต่างๆ ตามมาตรฐาน "เอเอฟซี" มีโค้ชผ่านการอบรมทุกระดับ 3,492 คน แบ่งเป็น
- ซี ไลเซนส์ 600 คน
- บี ไลเซนส์ 89 คน
- เอ ไลเซนส์ 47 คน (รอผล 1 คอร์ส)
- เอเอฟซี โปร ไลเซนส์ 22 คน (รอผล 1 คอร์ส)
นอกจากนั้นก็มี โค้ชระดับอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ต้องยกนิ้วให้จริงๆ
อีกเรื่องที่ต้องยกเป็นผลงานเด็ด คือ การย้ายที่ทำการสมาคมฟุตบอลฯ จากไต้ถุนสนามศุภชลาศัย มาอยู่ในพื้นที่การกีฬาแห่งประเทศไทย โดยมีอาคารใหญ่โตเป็นเกียรติเป็นศรี มีห้องประชุมให้ได้ทำงานอวดแขกบ้านแขกเมืองได้สวยงามกว่าเก่าเยอะ
แต่เรื่องผลงานทีมชาติไทย ทุกชุดที่ไม่ค่อยสวยงาม ก็ยังเป็นเหมือนบาดแผลของ "บิ๊กอ๊อด" ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่า อยากเห็นผลงาน "ช้างศึก" ออกมาดี แต่การพัฒนาฟุตบอลมันมีเรื่องอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบมากมาย ไม่ใช่แค่ผลงานทีมชาติเท่านั้น
โดย พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันว่า การทำงานใน 4 ปีต่อจากนี้จะยึดแผนพัฒนายุทธศาสตร์ 20 ปี ของสมาคม ซึ่งหนึ่งในแผนนี้คือการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ 500 ล้าน ที่จังหวัดสระบุรี ด้วยการนำโมเดลของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ มาปรับใช้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการพัฒนาผู้ตัดสินฟุตบอลไทย ที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องการทำหน้าที่ โดยทุกวันนี้มีการนำเทคโนโลยี VAR เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นการแบ่งเบาการทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม ขณะเดียวกันก็มีการจ้องตัดตอนจัดการขบวนการล็อกผลการแข่งขัน เรื่องนี้ "บิ๊กอ๊อด" ยอมรับว่าหากตนเองไม่ได้เคยเป็นอดีต ผบ.ตร.ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการเหมือนกัน อันนี้ถือเป็นผลพลอยได้เลยก็ว่าได้
ส่วนเรื่องที่เคยประกาศว่าจะทำ แล้วในความรู้สึกส่วนตัวเห็นว่ายังไม่สามารถจับต้องได้เลยคือ Thailand's Way ที่บอกว่าจะเป็นแนวทางการเล่นฟุตบอลแบบไทยสไตล์ ทุกวันนี้ได้ การ์เลส โรมาโกซา ผู้อำนวยการเทคนิค มาคอยดูแล ส่วนจะสำเร็จไหม คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะบอกได้ ตอนนี้บอกได้แค่ว่าเริ่มต้นไปแล้ว
ที่ได้ยินมาตอนนี้ "นายกอ๊อด" ออกมาพูดแล้วว่านี่จะเป็น 4 ปี สุดท้ายในการบริหารงานสมาคมฟุตบอลฯ หลังจากนี้ก็จะวางมือ เอาเป็นว่ามารอชมผลงานหลังจบโควิด-19 เอาแล้วกัน ระหว่างนี้ก็เก็บตัวเพื่อชาติป้องกันโรคระบาดกันไปก่อนแล้วกัน..