“โค้ชเบิ้ม” ดร.ธนากร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสมือ 1 ของไทย และผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย รวมถึงเป็นพี่ชายของ ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสคนดัง เผยว่า ตนได้รับการติดต่อจากสมาคมกีฬาเทนนิสกัมพูชา โดยเลขาธิการสมาคมฯ นายฤทธิวิท เทพ และ โรเบิร์ต เดวิส โค้ชชาวต่างชาติ ที่ได้ประสานงานติดต่อผ่านทางคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต้นสังกัด เพื่อขอให้เข้าร่วมเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน หรือ เฮดโค้ช ให้กับทีมนักเทนนิสกัมพูชา ชุดสู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่จะเดินทางไปแข่งขันที่ฟิลิปปินส์ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งตนได้ตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนและต้องไปดูแลทีมเทนนิสกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ไปจนจบการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 30 เนื่องจากตนเห็นว่ากีฬาเทนนิสของกัมพูชากำลังได้รับความนิยมและมีกลุ่มเยาวชนสนใจเข้ามาเล่นกีฬานี้มากขึ้น และการเข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนในช่วงซีเกมส์นี้จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ในการเล่นและเป็นโค้ชที่ผ่านๆ มา ถ่ายทอดและดึงศักยภาพของนักกีฬาเทนนิสกัมพูชาที่มีอยู่แล้วให้มีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า
“นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยครับที่ได้รับหน้าที่โค้ชให้กับทีมต่างชาติ และสาเหตุที่ตอบตกลงกับทีมกัมพูชาเพราะหลังจากได้รับฟังทัศนคติเกี่ยวกับกีฬาเทนนิสจากเลขาธิการสมาคมกีฬาเทนนิสกัมพูชา นายฤทธิวิท เทพ เขาเองมีความต้องการเห็นนักกีฬามีผลงานที่ดีในการแข่งขันซีเกมส์และพยายามหาคนมาช่วยดึงศักยภาพพัฒนาฝีมือนักเทนนิสให้สูงขึ้นเพื่อกระตุ้นให้กีฬาเทนนิสในกัมพูชาได้รับความนิยม ซึ่งขณะนี้ก็นับว่าเริ่มที่จะมีเยาวชนสนใจเล่นกีฬาเทนนิสมากขึ้น แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร จริงๆ แล้ว นักเทนนิสของกัมพูชาหลายคนเป็นนักกีฬาที่เติบโตในต่างประเทศ อย่าง อันเดรีย สม ที่ได้เหรียญทองแดงหญิงเดี่ยว ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 และมีหลายคนก็ออกเล่นอาชีพ รวมถึงเยาวชนที่กำลังขึ้นมา”
โค้ชเบิ้ม กล่าวอีกว่า ซีเกมส์ครั้งนี้ กัมพูชาส่งนักกีฬาลงแข่งประมาณ 8 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 4-5 คน โดยมีเป้าหมายไปที่คาดว่าผลงานจะดีกว่าเดิมคือได้มากกว่า 1 ทองแดง แม้จะมองว่าโอกาสถึงเหรียญทองยาก เพราะเขามองว่านักเทนนิสไทยก็ยังมีความแข็งแกร่งกว่า รวมถึง อินโดนีเซีย และเจ้าภาพ ฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่ตนอยากเห็นในการทำหน้าที่โค้ชครั้งนี้ก็คือ การเห็นทีมเทนนิสกัมพูชามีความกล้าที่จะเล่นกับคู่แข่งที่เหนือกว่าอย่างเต็มที่ ดังนั้นในช่วงที่ทำหน้าที่โค้ช ตนจะเน้นในเรื่องแทกติกให้นักกีฬามากกว่าเพราะเป็นการเข้ามาทำงานในช่วงสั้นๆ ซึ่งคงจะปรับเทคนิคอะไรให้ได้ไม่นาก แต่แทกติกในการแข่งขันนั้นถือว่าสำคัญมาก ทั้งเรื่องมุมมอง ทัศนคติ สภาพจิตใจ และการเตรียมความพร้อม ทั้งก่อนแข่ง ระหว่างแข่ง และหลังการแข่งขัน
“ผมไม่รู้สึกกดดันอะไรเลยครับในการทำหน้าที่โค้ชให้กัมพูชา เลขาธิการสมาคมฯก็ให้โอกาสได้ทำงานเต็มที่ และเขาเองก็มองว่ากัมพูชาไม่ใช่คู่แข่งอะไรของไทย แต่ผมต้องการที่เข้ามาช่วยให้วงการเทนนิสที่กัมพูชาได้รับความสนใจมากขึ้น อย่างเลขาธิการสมาคมเทนนิสกัมพูชาเองก็หวังที่จะให้ชาวอาเซียนได้รู้จักกัมพูชาโดยใช้กีฬาเป็นสื่อ และอยากให้นักกีฬาได้ภาคภูมิใจที่ได้ลงแข่งขันซีเกมส์ในนามนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งผมในฐานะโค้ชก็จะพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด และหวังที่จะได้เห็นผลงานที่ดีจากนักเทนนิสกัมพูชาในซีเกมส์ครั้งนี้เช่นกัน” โค้ชเบิ้ม กล่าวทิ้งท้าย