เอเยนซี - ศึกฟุตบอลโลก 2018 คืนวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคมนี้ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ที่ได้รับการคาดหมายว่าอาจะเป็นม้ามืดไปหยิบตำแหน่งแชมป์ กระนั้นก็ตาม การผ่าน สวีเดน ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี้ไม่ง่ายเลย ขณะที่อีกคู่วันเดียวกันเจ้าภาพ รัสเซีย จะใช้ความฮึกเหิมสู้กับ โครเอเชีย
สวีเดน พบ อังกฤษ ณ คอสมอส อารีน่า
สวีเดน น่าจะถูกมองว่าเป็นทีมที่อ่อนที่สุดในบรรดาทีมที่เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ กระนั้นก็ตามไม่ใช่งานง่ายของ อังกฤษ อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่รอบคัดเลือกที่ “ไวกิ้ง” อยู่กลุ่มเดียวกับ ฝรั่งเศส รวมถึง เนเธอร์แลนด์ส รอบเพลย์ออฟก็ผ่าน อิตาลี อีกทั้งรอบแบ่งกลุ่ม เยอรมนี ต้องรอจนถึงนาที 90+5 กว่าจะชนะได้ 2-1
นอกจากนี้ 4 นัดที่ผ่านมา สวีเดน เสียแค่ 2 ประตูเท่านั้นมาจากรอบแบ่งกลุ่มก่อนที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายจะชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 1-0 ไม่ใช่แค่เกมรับที่แข็งแกร่ง แต่ก็แสดงถึงทีมเวิร์ก อีกทั้งการที่ไม่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ถือเป็นผลดี โค้ชก็กล้าเปลี่ยนแปลงไม่ต้องเกรงใจใคร แถมกรณี “เดอะ แบก” ก็ใช้ไม่ได้ผลในปีนี้อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็กลับบ้านไปแล้ว
ที่เอ่ยมาทำให้ดาวเด่น สวีเดน คือ อันเดรียส กรานควิสต์ เซนเตอร์ฮาล์ฟที่ยิงไปแล้ว 2 ประตูจากจุดโทษล้วนๆ ส่วนเกมพบ อังกฤษ ต้องเช็ก อัลบิน เอ็กดัล มิดฟิลด์ที่เจ็บข้อเท้า รวมถึงไม่มี มิคาเอล ลุสติก แนวรับที่ติดโทษแบน
สวีเดน นั้นเคยเป็นถึงรองแชมป์โลกเมื่อปี 1958 แต่ที่เรารู้จักและจำได้จนถึงวันนี้คือปี 1994 ที่คว้าอันดับ 3 ภายใต้แกนรุกอย่าง โทมัส โบรลิน, มาร์ติน ดาห์ลิน, เคนเน็ต แอนเดอร์สัน และ เฮนริก ลาร์สสัน แต่ปีนี้จะไปได้ไกลถึงขนาดนั้นหรือไม่ต้องถาม อังกฤษ แชมป์โลกปี 1966 ที่หนนี้มาดีเหลือเกินภายใต้แกนหลักพลังหนุ่ม
อังกฤษ เพิ่งชนะรอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกรอบ 12 ปี หลังรอบ 16 ทีมเอาชนะจุดโทษ โคลอมเบีย 4-3 โดยเวลาปกติเสมอกัน 1-1 แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ เพราะ ไคล วอล์คเกอร์ คือ ฟูลแบ็กไม่ใช่เซนเตอร์ฮาล์ฟในระบบ 3-5-2 รวมถึงแข้งหลายคนประสบการณ์น้อย ส่วนแกนหลักคือ แฮร์รี่ เคน กองหน้าที่กดไปแล้ว 6 ลูกนำดาวซัลโว ณ ขณะนี้
เกมพบกับ สวีเดน ทางด้าน แกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่ของ อังกฤษ ต้องลุ้นว่า เดเล่ อัลลี่ กองกลางจอมทัพจะฟิตหรือไม่ หลังจากเจ็บออดๆ แอดๆ ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้ว หากไม่พร้อม เอริก ไดเออร์ หรือ รูเบน ลอฟตัส-ชีก มีลุ้นลงสนามแทน เพราะรูปร่างสูงใหญ่เอาไว้ชนกับแข้ง “ไวกิ้ง” น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยง
รัสเซีย พบ โครเอเชีย ณ ฟิส์ต โอลิมปิก สเตเดี้ยม
เจ้าภาพ รัสเซีย มีความฮึกเหิม หลังจากรอบ 16 ทีมสุดท้ายผ่านแชมป์ปี 2010 อย่าง สเปน โดยเอาชนะจุดโทษ 4-3 หลังจาก 120 นาทีเสมอ 1-1 ไม่ใช่แค่หัวจิตหัวใจ เพราะอาวุธของ “หมีขาว” ก็ครบมือทั้ง อาร์เต็ม ซูบา, อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน และ เดนิส เชอริเชฟ แต่ต้องเช็กฟิต ยูริ ซีร์คอฟ กัล อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ
ส่วน โครเอเชีย ผ่าน เดนมาร์ก มาแบบหืดจับ โดยต้องดวลจุดโทษชนะ 3-2 หลังจาก 120 นาทีเสมอ 1-1 เรียกได้ว่าผิดฟอร์ม ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าเกร็ง แต่เข้ารอบ 8 ทีมแล้วก็น่าจะผ่อนคลาย ส่วนการจัดทัพไร้ปัญหาไม่มีแข้งเจ็บหรือแบน นำโดย ลูก้า โมดริช, มาริโอ มานด์ซูคิช, อันเต้ เรบิช และ อิวาน เปริซิช