พลพรรค “ทรี ไลอ้อนส์” ฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง หลังจาก “สิงโตคำราม” อังกฤษ คว้าชัยรอบน็อคเอาท์ครั้งแรกในช่วง 12 ปี ด้วยการชนะจุดโทษ โคลอมเบีย 4-3 หลังจาก 120 นาทีเสมอกัน 1-1 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ส่วนคู่แข่งรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ อังกฤษ นั้นไม่ใช่ทางผ่านอย่างแน่นอน ซึ่งก็คือ สวีเดน ที่วันเดียวกันเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 1-0 โดยคู่นี้จะเตะกันวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ณ คอสมอส อารีน่า ระหว่างช่วงพัก 2 วันนี้เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่าทัพ “ไวกิ้ง” ที่อาจเป็นม้ามืด “เวิลด์ คัพ 2018” มีดีอย่างไรบ้าง
1. เกมรับ - 4 นัดที่ผ่านมา สวีเดน เสียเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าหลังบ้านนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน นำโดย อันเดรียส กรานควิสต์ ที่ยิงไปแล้ว 2 ประตูจากจุดโทษล้วนๆ จับคู่กับ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่แม้ผลงานกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปีที่ผ่านมาจะไม่เตะตานักก็ตาม ส่วน อังกฤษ แม้จะมีทีเด็ดจากลูกเซตพีซ แต่สถิติที่ผ่านมาในฟุตบอลโลกที่รัสเซีย “ไวกิ้ง” เสียเตะมุมให้คู่แข่งถึง 31 ครั้ง ทว่าไม่ถูกเจาะตาข่ายแม้แต่ครั้งเดียว
2. ผ่านทีมแกร่งมาหมดแล้ว - รอบคัดเลือก สวีเดน อยู่กลุ่มเดียวกับ ฝรั่งเศส รวมถึง เนเธอร์แลนด์ส ก่อนเข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 ส่วนรอบเพลย์ออฟก็ผ่านทีมเขี้ยวลากดินอย่าง อิตาลี เปิดบ้านชนะ 1-0 กับเสมอ 0-0 ขณะที่รอบแบ่งกลุ่มนั้นคว้าแชมป์สาย แม้ว่าจะแพ้ เยอรมนี 1-2 แต่ “อินทรีเหล็ก” คว้าชัยจากลูกเซตพีซนาทีที่ 90+5 นอกจากนี้ ยังถล่มทีมหินอย่าง เม็กซิโก ถึง 3-0
3. สถิติเจอกัน - ทั้งคู่เจอกันนัดล่าสุด คือ แมตช์ลับแข้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2012 โดย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เหมาคนเดียว 4 ประตู สวีเดน ถล่ม 4-2 นักเตะ อังกฤษ ชุดนั้นที่เหลือรอดมาก็มี แกรี่ เคฮิลล์, แอชลีย์ ยัง, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แดนนี่ เวลเบ็ค
ย้อนไปถึงปี 1968 หรือ 50 ปีก่อน อังกฤษ คว้าชัยเหนือ สวีเดน 3-1 ก็จริง แต่หลังจากนั้นเจอกัน 12 นัดไม่เคยชนะเลย จนมาถึง 2011 “สิงโตคำราม” เฉือน 1-0 ตามด้วยปี 2012 ย้ำชัย 3-2 ในศึก ยูโร 2012 รอบแบ่งกลุ่ม
4. การที่ไม่มี ซลาตัน - ก่อนเปิดฉาก “เวิลด์ คัพ 2018” มีการเรียกร้องให้ดึง ซลาตัน อิบราโมวิช หอกซุปตาร์วัย 36 ปีมาติดทัพ กระนั้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้น ซึ่งกลับกลายเป็นผลดี เพราะทำให้ สวีเดน ชุดนี้เล่นกันด้วยทีมเวิร์กคู่หน้าเป็น โอล่า ตอยโวเน่น กับ มาร์คุส เบิร์ก โค้ชก็กล้าเปลี่ยนแปลงไม่ต้องเกรงใจใคร แถมกรณี “เดอะ แบก” ก็ใช้ไม่ได้ผลในปีนี้อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็กลับบ้านไปแล้ว