คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
จากผลงานของทีมชาติไทย ที่สามารถเก็บคะแนนแรกในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ด้วยการปรับหมากวางแผนใหม่ของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่พลิกแพลงแผนด้วยระบบ 5-3-2 ด้วยเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน ประกอบด้วย ประทุม ชูทอง, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ สองปราการหลังจาก เชียงราย ยูไนเต็ด ผสานกับ อดิศร พรมหรักษ์ แห่ง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แล้วใช้ ทริสตอง โด กับ ธีราทร บุญมาทัน คุมเกมรุกรับตรงริมเส้น ปิดโอกาสโยนบอลของ ออสเตรเลีย เสียอยู่หมัด จะพลาดก็แค่การเสียจุดโทษทั้ง 2 ประตูเท่านั้น ถือว่าดูดีมีอนาคตมากทีเดียว
แต่สิ่งที่ละเว้นหลงลืมไม่ได้ คือ เรื่องการดร็อปปีกสองข้างให้เป็นหน้าที่ของแบ็กเติมเกมแทน แล้วมอบโอกาสให้ สิโรจน์ ฉัตรทอง กองหน้าหุ่นบึกบึนประหนึ่งร่างทรงของ “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาสู่สนามฟุตบอล ซึ่งหัวหอกเจ้าของความสูง 184 เซนติเมตร ลงมาสร้างความปั่นป่วน ร่วมกับ ธีรศิลป์ แดงดา ตามคำเรียกร้องของแฟนบอลก่อนหน้านี้ ก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง ทั้งการเบียด การพิง จากความหนาและสูงใหญ่ของสรีระ แถมยังมีความเร็วเป็นตัวเสริม ทำให้กองหลังแดนจิงโจ้ต้องปวดหัว และยังเปิดโอกาสให้ ธีรศิลป์ โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่น จนเป็นที่มาแห่งการซัด 2 ประตู และคว้าแต้มแรกมาได้สำเร็จ
การใส่ชื่อ สิโรจน์ เป็นตัวจริง นำมาซึ่งผลงานที่ดีของทีม “ช้างศึก” แบบหักทั้งปากกาและคีย์บอร์ดของเซียนลูกหนังหน้าจอทั้งหลาย ทำให้อดนึกถึงกองหน้าคู่ทีมชาติไทยในอดีตอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กับ “เจ้าโย่ง” หรือปัจจุบันต้องเรียกว่า “โค้ชโย่ง” วรวุฒิ ศรีมะฆะ รวมถึง เกียรติศักดิ์ กับ “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ที่ถือเป็นคู่หูแดนหน้าสุดอันตรายเมื่อครั้งเก่า เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง แม้แต่อดีตนักเตะทีมชาติอย่าง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ดาวยิงวัย 31 ปี ของสโมสร แบงค็อก ยูไนเต็ด รองแชมป์ไทยลีก ก็ยังคิดเช่นเดียวกัน โดยอดีตเด็กปั้นของทีม คริสตัล พาเลซ แห่งลีกลูกหนังแดนผู้ดี ก็ยังบอกว่าเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานกับการได้เห็นฟุตบอลทีมชาติไทย กลับมาใช้กองหน้าคู่คอยถล่มประตูคู่แข่งเหมือนในอดีต
ที่ผ่านมา ธีรศิลป์ เองก็พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับการเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของประเทศไทย และย่านอาเซียน ด้วยการผ่านมาแล้วทั้งการไปร่วมซ้อมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี ในยุค “เสี่ยแม้ว” ครองทีม แม้จะได้แค่ซ้อมก่อนถูกปล่อยไปตั้งไข่กับ กราสฮอปเปอร์คลับซูริก ในสวิตเซอร์แลนด์ และกลับมาตั้งหลักใหม่กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ซึ่งฟอร์มก็กลับมาดีขึ้น และถูกส่งกลับสู่ดินแดนยุโรปอีกครั้ง ด้วยการได้รับโอกาสทดสอบฝีเท้ากับ แอต.มาดริด ในสเปน ภายใต้การดูแลของ ดิเอโก ซิเมโอเน กุนซือชาวอาร์เจนตินา โดยมีโอกาสลงซ้อมทีมกับดาวดัง อาทิ ราดาเมล ฟัลเกา, อาร์ดา ตูราน และ ดิเอโก โกดิน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ทว่า ก็เตะตาสโมสร อัลเมเรีย ที่อยู่ในลีกเดียวกันสนใจยืมตัวหัวหอกรายนี้ไปร่วมทีม แม้จะได้รับโอกาสไม่มากนัก จึงไม่อาจแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม ก็ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังแต่อย่างใด เพราะลีกระดับลาลีกา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างชื่อ
ด้วยประสบการณ์ระดับ ธีรศิลป์ ในวัย 28 ปี ที่ผ่านการลงทีมกับสโมสรดังๆ ในยุโรปมาแล้ว บวกกับความเป็นผู้ใหญ่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ที่มีลูกชาย “น้องมาดริด” ย่อมเป็นเรื่องดีที่จะได้มีส่วนในการร่วมกันขัดเกลาฝีเท้าของ “ปีโป้” ดาวเตะรุ่นน้องที่ยึดเอา “เอลแดงดา” เป็นแบบอย่างในการพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ หาก “ซิโก้” ยังยึดรูปแบบการเล่นแบบกองหน้าคู่กันอยู่ ก็เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเป็นผู้เล่นที่กองหลังของชาติระดับชั้นนำของเอเชียจะละสายตาไม่ได้เลย ไม่เชื่อลองถามทีมชาติออสเตรเลียดูสิ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
จากผลงานของทีมชาติไทย ที่สามารถเก็บคะแนนแรกในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ด้วยการปรับหมากวางแผนใหม่ของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่พลิกแพลงแผนด้วยระบบ 5-3-2 ด้วยเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน ประกอบด้วย ประทุม ชูทอง, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ สองปราการหลังจาก เชียงราย ยูไนเต็ด ผสานกับ อดิศร พรมหรักษ์ แห่ง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แล้วใช้ ทริสตอง โด กับ ธีราทร บุญมาทัน คุมเกมรุกรับตรงริมเส้น ปิดโอกาสโยนบอลของ ออสเตรเลีย เสียอยู่หมัด จะพลาดก็แค่การเสียจุดโทษทั้ง 2 ประตูเท่านั้น ถือว่าดูดีมีอนาคตมากทีเดียว
แต่สิ่งที่ละเว้นหลงลืมไม่ได้ คือ เรื่องการดร็อปปีกสองข้างให้เป็นหน้าที่ของแบ็กเติมเกมแทน แล้วมอบโอกาสให้ สิโรจน์ ฉัตรทอง กองหน้าหุ่นบึกบึนประหนึ่งร่างทรงของ “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาสู่สนามฟุตบอล ซึ่งหัวหอกเจ้าของความสูง 184 เซนติเมตร ลงมาสร้างความปั่นป่วน ร่วมกับ ธีรศิลป์ แดงดา ตามคำเรียกร้องของแฟนบอลก่อนหน้านี้ ก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง ทั้งการเบียด การพิง จากความหนาและสูงใหญ่ของสรีระ แถมยังมีความเร็วเป็นตัวเสริม ทำให้กองหลังแดนจิงโจ้ต้องปวดหัว และยังเปิดโอกาสให้ ธีรศิลป์ โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่น จนเป็นที่มาแห่งการซัด 2 ประตู และคว้าแต้มแรกมาได้สำเร็จ
การใส่ชื่อ สิโรจน์ เป็นตัวจริง นำมาซึ่งผลงานที่ดีของทีม “ช้างศึก” แบบหักทั้งปากกาและคีย์บอร์ดของเซียนลูกหนังหน้าจอทั้งหลาย ทำให้อดนึกถึงกองหน้าคู่ทีมชาติไทยในอดีตอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กับ “เจ้าโย่ง” หรือปัจจุบันต้องเรียกว่า “โค้ชโย่ง” วรวุฒิ ศรีมะฆะ รวมถึง เกียรติศักดิ์ กับ “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ที่ถือเป็นคู่หูแดนหน้าสุดอันตรายเมื่อครั้งเก่า เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง แม้แต่อดีตนักเตะทีมชาติอย่าง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ดาวยิงวัย 31 ปี ของสโมสร แบงค็อก ยูไนเต็ด รองแชมป์ไทยลีก ก็ยังคิดเช่นเดียวกัน โดยอดีตเด็กปั้นของทีม คริสตัล พาเลซ แห่งลีกลูกหนังแดนผู้ดี ก็ยังบอกว่าเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานกับการได้เห็นฟุตบอลทีมชาติไทย กลับมาใช้กองหน้าคู่คอยถล่มประตูคู่แข่งเหมือนในอดีต
ที่ผ่านมา ธีรศิลป์ เองก็พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับการเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของประเทศไทย และย่านอาเซียน ด้วยการผ่านมาแล้วทั้งการไปร่วมซ้อมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี ในยุค “เสี่ยแม้ว” ครองทีม แม้จะได้แค่ซ้อมก่อนถูกปล่อยไปตั้งไข่กับ กราสฮอปเปอร์คลับซูริก ในสวิตเซอร์แลนด์ และกลับมาตั้งหลักใหม่กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ซึ่งฟอร์มก็กลับมาดีขึ้น และถูกส่งกลับสู่ดินแดนยุโรปอีกครั้ง ด้วยการได้รับโอกาสทดสอบฝีเท้ากับ แอต.มาดริด ในสเปน ภายใต้การดูแลของ ดิเอโก ซิเมโอเน กุนซือชาวอาร์เจนตินา โดยมีโอกาสลงซ้อมทีมกับดาวดัง อาทิ ราดาเมล ฟัลเกา, อาร์ดา ตูราน และ ดิเอโก โกดิน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ทว่า ก็เตะตาสโมสร อัลเมเรีย ที่อยู่ในลีกเดียวกันสนใจยืมตัวหัวหอกรายนี้ไปร่วมทีม แม้จะได้รับโอกาสไม่มากนัก จึงไม่อาจแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม ก็ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังแต่อย่างใด เพราะลีกระดับลาลีกา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างชื่อ
ด้วยประสบการณ์ระดับ ธีรศิลป์ ในวัย 28 ปี ที่ผ่านการลงทีมกับสโมสรดังๆ ในยุโรปมาแล้ว บวกกับความเป็นผู้ใหญ่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ที่มีลูกชาย “น้องมาดริด” ย่อมเป็นเรื่องดีที่จะได้มีส่วนในการร่วมกันขัดเกลาฝีเท้าของ “ปีโป้” ดาวเตะรุ่นน้องที่ยึดเอา “เอลแดงดา” เป็นแบบอย่างในการพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ หาก “ซิโก้” ยังยึดรูปแบบการเล่นแบบกองหน้าคู่กันอยู่ ก็เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเป็นผู้เล่นที่กองหลังของชาติระดับชั้นนำของเอเชียจะละสายตาไม่ได้เลย ไม่เชื่อลองถามทีมชาติออสเตรเลียดูสิ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *